ผุดโครงการยางประชารัฐ กยท. ดึงพันธมิตรแปรรูปแก้ราคาตก/ป้อนนักช็อป

นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า เดือนมีนาคมนี้ กยท. จะปิดบัญชีขายยางในสต๊อกรัฐบาลปริมาณ 3.1 แสนตัน ที่นำออกประมูลในล็อตแรกประมาณ 1 แสนตัน และได้เงิน 6 พันล้านบาท ในเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนมีนาคมประมูลอีก 1 แสนตัน คาดว่าจะได้เงินจากการประมูลขายยางพารากว่า 18,000 ล้านบาท เพื่อส่งคืนรัฐ ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลกว่า 30 ราย สาเหตุที่เอกชนสนใจเข้าร่วมประมูลจำนวนมาก เนื่องจากราคายางยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังสต๊อกยางหายไปจากตลาดส่งออกใหญ่ของโลกคือไทยเพื่อนบ้าน ประมาณ 1 ล้านตัน จากมาตรการจำกัดปริมาณส่งออกของบริษัทร่วมทุน 3 ประเทศ ประมาณ 7 แสนตัน และจากน้ำท่วมภาคใต้อีก 3 แสนตัน

นายธีธัช กล่าวว่า ราคายางในตลาดโลกและตลาดในประเทศน่าจะชัดเจนว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ใน 3 ไตรมาสของปีนี้ โดยราคายางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ตลาดกลางยางพาราสงขลา 92.09 บาท ต่อกิโลกรัม (ก.ก.) ยางแผ่นดิบ ราคา 91.60 บาท ต่อกิโลกรัม น้ำยาง 74 บาท ต่อกิโลกรัม โดยยอมรับว่าราคาน้ำยางแกว่งตัวขึ้นลงตามกลไกตลาดและการรับซื้อของพ่อค้า อาจมีราคาที่ตกลงไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับราคายางแผ่น และยางแผ่นดิบรมควันในตลาดโลก ซึ่ง กยท. จะเตรียมเปิดตลาดกลางน้ำยางสด เพื่อรองรับราคาน้ำยางช่วงออกมามากไปในบางเวลา ส่งผลให้ราคาตก

นายธีธัช กล่าวว่า ในปี 2560 กยท. ยังเตรียมเปิดตัวโครงการยางประชารัฐ โดยการนำยางพาราไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ภายใต้เป้าหมายใช้ยางพารา ประมาณ 5.836 ล้านตัน โครงการแรกที่จะเปิดตัวเดือนมีนาคมคือ โครงการยางล้อประชารัฐ หรือการผลิตล้อยางพารา เพื่อขายให้หน่วยงานรัฐ และสหกรณ์แท็กซี่ เป้าหมายใช้ยางพารา 96,000 ตัน ผลิตยางล้อรถ จำนวน 3 หมื่นเส้น หลังจากนั้นจะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการกรุงเทพฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทำโครงการยางปูพื้นสนามกีฬา เป้าหมายใช้ยาง 1.24 ล้านตัน และโครงการยางพาราเพื่อสุขภาพ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทย เป้าหมาย 4 ล้านตัน และโครงการยางปูทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟ ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป้าหมาย 5 แสนตัน ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ยางพาราเพื่อสุขภาพ เช่น หมอนรองคอ เผือกยาง ลูกบอลบริหารมือและนวดประคบเพื่อสุขภาพ อาสนะ เก้าอี้คนป่วย ซึ่งหมอนสุขภาพได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนอย่างมาก

 

ขอบคุณข้อมูลจากมติชนรายวัน