“มกอช.” ปลื้มผลงานรอบ 17 ปี ยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารไทยเป็นที่ยอมรับของเอเชียและตลาดโลก

“ประภัตร” หนุน “มกอช.” สู่องค์กรนำด้านมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่ทั่วโลกยอมรับ  พร้อมโชว์ผลงานรอบ 17 ปี ผลักมาตรฐานสินค้าเกษตรสำเร็จ 322 เรื่อง มาตรฐานระหว่างประเทศ 22 เรื่อง และมาตรฐานอาเซียน 12 เรื่อง ดันยอดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารพุ่ง 1.12 ล้านล้านบาท พร้อมวางเป้า ปี 63 เดินหน้าหนุนยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ 20 ปี สานต่อนโยบายตลาดนำการผลิต รุกเกษตรอินทรีย์ ตีตลาดผ่านออนไลน์ เสริมแกร่งภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน

นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ครบรอบ 17 ปี ว่า ปัจจุบัน “มกอช.” นับเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการตลาดนำการเกษตร ตามนโยบายหลัก 12 ด้าน ที่รัฐบาลแถลงไว้ ใน ปี 2563 เป็นปีแห่งการยกระดับคน/และการบริหารจัดการมาตรฐานสินค้าเกษตร สู่เกษตร 4.0 จะมุ่งยกระดับด้านระบบมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย สนับสนุนตลาดนำการผลิต มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ตลาดออนไลน์ /DGT Farm/ และระบบตามสอบย้อนกลับ QR Trace รวมทั้งเป็นปีที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ก้าวทันการแข่งขันทางการค้า เศรษฐกิจ และกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรตามยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ 20 ปี

ในอนาคต มกอช. ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนในการเร่งยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยให้เป็นมาตรฐานระดับสากลมากขึ้น ตั้งแต่ระดับไร่นาจนถึงผู้บริโภค/ตลอดจนการเจรจา แก้ไขปัญหาทางการค้าเชิงเทคนิค เพื่อปรับปรุงและยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้ได้มาตรฐาน/เพื่อให้มีคุณภาพ/และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า  “เป็นองค์กรนำด้านมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่ทั่วโลกยอมรับ” อีกด้วย

ด้าน นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวถึงผลงานของ มกอช. ในรอบ 17 ปี ว่า มกอช. มีบทบาทสำคัญในการเป็นหน่วยงานกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศ (National  Standardization Body: NSB) เพื่อให้มาตรฐานที่กำหนดขึ้นมีความเหมาะสม ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ส่งผลให้ปัจจุบันมีการประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรแล้ว 322 ฉบับ แบ่งเป็นมาตรฐานสมัคร จำนวน 316 เรื่อง (พืช 118 เรื่อง เกษตรกรอินทรีย์ 9 เรื่อง ปศุสัตว์ 82 เรื่อง ประมง 60 เรื่อง และอื่นๆ 47 เรื่อง) และมาตรฐานบังคับ 6 เรื่อง คือ 1. เรื่องข้อกำหนดปริมาณอะฟลาท็อกซินในเมล็ดถั่วลิสง 2. เรื่องการปฏิบัติที่ดีทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับฟาร์มผลิตลูกกุ้งขาว 3. เรื่องกระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 4. เรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง 5. เรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และ 6. เรื่องการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มไก่ไข่

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกำหนดมาตรฐานองค์กรระหว่างประเทศ รวม 34 เรื่อง แบ่งเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศ 22 เรื่อง และมาตรฐานอาเซียน 12 เรื่อง และยังได้เจรจาสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรไทยรวม 18 เรื่อง แบ่งเป็นการเจรจาเพื่อเปิดตลาดสินค้าเกษตร 7 เรื่อง และการแก้ไขปัญหาการส่งออก 11 เรื่อง ส่วนด้านการควบคุม กำกับดูแลมาตรฐานสินค้าเกษตรและการส่งเสริมมาตรฐานได้ออกใบอนุญาตนำเข้า/ส่งออก ตามมาตรฐานบังคับแก่ผู้ประกอบการ จำนวน 1,101 ราย แบ่งเป็นโรงรมซัลเฟอร์ จำนวน 375 ราย อะฟลาท็อกซินถั่วลิสง จำนวน 115 ราย ลูกกุ้งขาว จำนวน 88 ราย ทุเรียนแช่เยือกแข็ง จำนวน 222 ราย ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ จำนวน 194ราย และเชื้อเห็ด จำนวน 107 ราย

นอกจากนี้ ด้านการส่งเสริมมาตรฐานได้มีการเชื่อมโยงการผลิต-การตลาดสินค้า Q  ในตลาด 3 ประเภทแบ่งเป็น 1. ตรวจรับรองแหล่งจำหน่ายสินค้ามาตรฐานโครงการร้านอาหารวัตถุดิบปลอดภัยเลือกใช้สินค้า Q (Q restaurant) 3,200 สาขา Q Market  893 แผง  Q Modern Trade 697 แผง  2. ระบบ QR Trace on Cloud 1,048 ราย 3. ตลาด DGTFarm.com 1,739 ราย แบ่งเป็นผู้ขาย 818 ราย และผู้ซื้อ 921 ราย

นอกจากนี้ ยังได้ให้การรับรองสถานที่จำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ จำนวน 282 แห่ง พัฒนาต้นแบบโรงสีข้าว/โรงคัดบรรจุ GMP จำนวน 5 แห่ง  และพัฒนาระบบการรับรองแบบกลุ่มสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 20 กลุ่ม ใน 8 จังหวัด ส่วนด้านการดำเนินการตามนโยบายเกษตรแปลงใหญ่นั้น ได้มีการดำเนินการในพื้นที่ 19 จังหวัด โดยให้ความรู้ด้านการผลิตตามมาตรฐาน GAP จำนวน 6 เรื่อง คือ ถั่วฝักยาว ถั่วลิสงหลังนา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดเมล็ดแห้ง GAP พืชอาหารและจิ้งหรีด แก่เกษตรกรรวมจำนวน 952 ราย และยังได้พัฒนาต้นแบบโรงงานแปรรูปมาตรฐาน 9 แห่ง (โรงสีข้าว 2 แห่ง โรงคัดบรรจุผักผลไม้สด 6 แห่ง และโรงรวบรวมผักผลไม้สด 1 แห่ง อีกด้วย

“จากความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยตลอดระยะ 17 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก ในปี 2561 มีมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหาร 1.12 ล้านล้านบาท ประเทศไทยจึงเห็นความสำคัญของกำหนดมาตรฐานสากล และเป็นผู้นำในการยกร่างมาตรฐานสินค้าเกษตรของไทยให้เป็นมาตรฐานระดับสากลสำเร็จมาแล้วหลายเรื่อง เช่น เงาะ ลองกอง กะทิ น้ำปลา แม้ประเทศผู้นำเข้าจะกำหนดมาตรการกีดกันทางการค้าที่มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการนำเข้าสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย แต่ด้วยการนำมาตรฐานและระบบการตรวจสอบรับรองการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ได้มาตรฐานสากลของไทย ไปใช้ในการผลิตและการตรวจสอบรับรองระบบการผลิตสินค้าภาคการเกษตร

โดยการบูรณาการร่วมกับกรมต่างๆ ของกระทรวงเกษตรฯ ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 เพื่อควบคุม กำกับ ดูแลความปลอดภัยอาหารอย่างเบ็ดเสร็จตลอดห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ (Food chain) เพื่อให้ได้สินค้าที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้สินค้าเกษตรและอาหารของไทยได้รับการยอมรับและมียอดส่งออกไปตลาดโลกขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศไทย รวมทั้งหน่วยรับรองระบบงานของ มกอช. ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นอีกด้วย” นางสาวจูอะดี กล่าว

นางสาวจูอะดี ยังได้กล่าวถึงผลงานด้านต่างประเทศด้วยว่า มกอช. ได้เร่งขับเคลื่อนประชาสัมพันธ์มาตรฐานสินค้าเกษตรในเวทีโลก และแสวงหาความร่วมมือคู่ค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ โดยการเข้าร่วมงาน Natural Product Expo West (NPEW) ซึ่งเป็นงานสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความสำคัญเทียบเท่า International Green Week และมีโอกาสเติบโตทางการตลาดสูงที่สุด ซึ่งสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ค้าของไทยหลายราย

รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือกับสำนักงานด่านการค้าของมลรัฐลอสแองเจลิส (LA Port) ที่เป็นท่าเทียบสินค้าใหญ่ที่สุดของทั้งฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ และของภูมิภาคอเมริกา ซึ่ง LA Port ให้ความสนใจและเตรียมพัฒนาความร่วมมือด้านการค้า-มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชกับท่าเรือของไทย โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมและระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ที่ผู้ประกอบการของไทยในปัจจุบันใช้เป็นท่าส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมากและในอนาคต มกอช. จะยังคงมุ่งมั่นผลักดันมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น รวมทั้งเร่งพัฒนาเกษตรกรให้มีขีดความสามารถในการผลิต แปรรูปและทำตลาดสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลและยุทธศาสตร์กระทรวงเกษตร 20 ปี อย่างเข้มข้นต่อไป