นักวิจัยเตือน “ยางพาราไทย” เจอวิกฤตซ้ำ หากจีนประกาศใช้มาตรฐานสากล FSC

22 ตุลาคม 2562 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดงานแถลงข่าว จับตาวิกฤตยางพาราไทย : ยางและไม้ยางพาราไทยกับการถูกกีดกันทางการค้าด้วย “มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 15 สกสว. เพื่อสรุปสถานการณ์ของยางพาราไทยในปัจจุบันและนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาหลังไทยถูกกีดกันทางการค้า ด้วย “มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี”

ผศ.ดร. ขวัญชัย ดวงสถาพร

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า สืบเนื่องจากชาวสวนยางพาราไทยได้ประสบกับปัญหาราคายางพาราตกต่ำอย่างมากมาเป็นเวลานาน มากกว่า 5 ปี ทำให้ชาวสวนยางและคนกรีดยางได้รับความเดือดร้อนมาก ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหามาโดยตลอด อาทิ การนำยางพารามาทำเป็นผลิตภัณฑ์ยางชนิดต่างๆ การทำถนน โดยการนำยางพารามาผสมกับยางมะตอย และนำยางพาราไปผสมกับดินเพื่อทำถนน ทำให้เกิดนโยบาย “โครงการ 1 ตำบล ทำถนนยางพารา 1 กิโลเมตร” รวมทั้งการหาตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ได้แก่ ตลาดอินเดีย แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ราคายางพาราสูงขึ้นได้ โดยมาตรการล่าสุดที่รัฐบาลแก้ปัญหาคือการประกันราคายาง เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2563 ครอบครัวละไม่เกิน 25 ไร่ โดยราคาประกันยางแผ่นดิบ 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%) 57 บาท/กิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) 23 บาท/กิโลกรัม

ทั้งนี้ นอกจากราคายางพาราที่ตกต่ำจนชาวสวนยางต้องขายยางพาราในราคาที่ต่ำกว่าทุนแล้ว ประเทศผู้ซื้อยางและไม้ยางพารายังพยายามกดให้ราคาถูกลงอีก โดยใช้ข้อกีดกันทางการค้าอื่นที่ไม่ใช่ภาษี (Non tariff barriers) เช่น การบุกรุกป่าเพื่อปลูกยาง การใช้สารเคมีบางชนิด การตัดต้นยางพาราที่ไม่ถูกวิธี การไม่อนุรักษ์พื้นที่ป่าอนุรักษ์และสัตว์ป่า เป็นต้น โดยประเทศผู้ซื้อจะอ้างอิงมาตรฐานการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืน ทั้ง Forest Stewardship Council (FSC) และ Program for the Endorsement of Forest Certification (PEFC) โดยอาศัยกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่กำลังมาแรงในขณะนี้เป็นข้ออ้าง สกสว. ได้ตระหนักถึงปัญหาการกีดกันทางการค้าดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งในขณะนั้น สกว. (ชื่อ เดิมของ สกสว.) ได้ให้ทุนสนับสนุนการทำวิจัย ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน เพื่อจัดทำมาตรฐานการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืนที่สอดคล้องและเหมาะสมกับรูปแบบการจัดการรวมทั้งขนบธรรมเนียม และวิถีชีวิตของชาวสวนยางไทย โดยต้องเป็นที่ยอมรับขององค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศทั้ง FSC และ PEFC อาทิ มาตรฐานการจัดสวนป่าไม้อย่างยั่งยืน มอก.14061, FSC Thailand (มาตรฐาน FSC ที่เหมาะสมกับประเทศไทย) รวมทั้งการให้ความรู้แก่เกษตรกร โดยการฝึกอบรม และจัดทำเอกสารคู่มือเผยแพร่ เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเข้าสู่การรับรองมาตรฐานการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืนต่อไปได้ โดยมีงานวิจัยด้านยางที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์อยู่หลายโครงการ อาทิเช่น โครงการวิจัย รูปแบบการจัดการสวนยางพาราที่เหมาะสมในประเทศไทยเพื่อรองรับการตรวจรับรองตามมาตรฐานการรับรองการจัดการป่าไม้ของ FSC ของ ผศ.ดร.ขวัญชัย ดวงสถาพร ที่ทำให้ได้มาซึ่งต้นแบบการจัดการสวนยางที่ได้รับการรับรองจาก Forest Stewardship Council (FSC) ที่เกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่อื่นๆ สามารถนำไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนได้

ด้าน ศาสตราจารย์ นายแพทย์ศิริฤกษ์ ทรงวิไล ผู้อำนวนการ วช. กล่าวว่า สถานการณ์ล่าสุดในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านยางรถยนต์ (มิชลิน) ของประเทศฝรั่งเศส และเฟอร์นิเจอร์ (อิเกีย) ของประเทศสวีเดน ได้ประกาศว่าในอีก 2 เดือนข้างหน้า ทั้ง  2 บริษัทจะไม่ซื้อยางพารา และไม้ยางพาราที่มีการบุกรุกป่านั้น และในขณะเดียวกันยังมีบริษัทจากต่างประเทศอีกหลายประเทศเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่จะไม่ยอมรับยางพารา และไม้ยางพาราของไทยจากสวนยางที่ไม่ได้รับรองการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานนานาชาติ ทั้งมาตรฐาน FSC (Forest Stewardship Council), มาตรฐาน PEFC (Program for the Endorsement of Forest Certification) และมาตรฐานการจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มอก. 14061 ทั้งนี้ เนื่องจากกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังเป็นประเด็นที่สำคัญของโลก

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ทราบความสำคัญ และมองเห็นความจำเป็นในการเตรียมความพร้อม เพื่อลดการกีดกันทางการค้าหรือ Non tariff barriers และทำให้เกิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันมาตั้งแต่ปี 2559 โดยได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อ แก้ปัญหา และเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรชาวสวนยางทั้งรายเล็ก และรายใหญ่ในการปรับตัว และสามารถปฏิบัติ หรือจัดการสวนยางพาราให้สอดคล้องกับมาตรฐานการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานนานาชาติ ทั้ง FSC, PEFC และ มอก. 14061

ในขณะที่ ผศ.ดร.ขวัญชัย ดวงสถาพร หัวหน้าภาควิชาการจัดการป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้กล่าวถึงว่า ข้อมูลปี 2561 ระบุว่าตลาดส่งออกยางพาราไทยอันดับ 1 คือ จีน ขณะนี้จีนสร้างมาตรฐาน FSC เสร็จแล้ว  ถ้าจีนประกาศใช้เมื่อไหร่จะส่งผล กระทบต่อการส่งออกของไทยทันที ในขณะที่ประเทศไทยมีพื้นที่สวนยางพาราที่มีการจัดการ  ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเพียง 122,658 ไร่  หรือ 0.5% เท่านั้น แต่มีสวนยางที่ไม่ผ่านมาตรฐานสากลถึง 99.5% ปัญหาหลักๆ มี รับรองมาตรฐานการจัดการสวนยางพาราในประเทศไทย 6 ข้อด้วยกันคือ  (1) ผลสืบเนื่องจากปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมโลกที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นส่งผลต่อการเร่งให้มีมาตรฐานการจัดการสวนยางพารา (2) สถานการณ์การส่งออกผลิตภัณฑ์จากไม้ยางพาราในระยะยาวอยู่ในสถานภาพที่มีความเสี่ยงสูง (3) ประเทศไทยมีพื้นที่สวนยางพาราที่มีการจัดการและได้รับการรับรองตามมาตรฐานการจัดการป่าไม้ในระดับนานาชาติเพียง ร้อยละ 0.5 ของพื้นที่สวนยางพาราทั้งประเทศ (4) มาตรฐานการรับรองการจัดการป่าไม้ในระดับนานาชาติตามเงื่อนไขของผู้ซื้อมีหลายมาตรฐาน (5) ผู้ทำสวนยางพาราและผู้ประกอบธุรกิจไม้ยางพาราส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในมาตรฐานการรับรองการจัดการป่าไม้ในระดับนานาชาติที่ดีพอ และ (6) มีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรับรองของ FSC จากเวอร์ชั่น 4 เป็น เวอร์ชั่น 5 ในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งมีเงื่อนไขเพิ่มมากขึ้นในการปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ซึ่ง ผศ.ดร. ขวัญชัย ดวงสถาพร ได้เสนอแนะแนวทางเพื่อตอบโจทย์เร่งด่วนของวิกฤตยางพาราไทยบนพื้นฐานงานวิจัย 6 ประการ ได้แก่ (1) กำหนดเป็นวาระแห่งชาติเร่งด่วนในการพัฒนาศักยภาพของการทำสวนยางพาราทั้งระบบเพื่อให้ได้รับการรับรองการจัดการป่าไม้ในระดับนานาชาติ (2) กำหนดหรือสร้างองค์กรที่มีภารกิจในการรับมือ เจรจา และสร้างการรับรู้กับผู้เกี่ยวข้อง เช่น การยางแห่งประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ มหาวิทยาลัย (3) พัฒนาศักยภาพและสร้างความพร้อมของผู้ทำสวนยางพารา ผู้ประกอบธุรกิจไม้ยางพารา และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ให้ได้รับการรับรองการจัดการป่าไม้ในระดับนานาชาติโดยด่วน (4) สร้าง Forest Management Standard for Thailand บนพื้นฐานของงานวิจัย ที่ได้รับการรับรองจาก FSC หรือ PEFC (5) เร่งวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมของการจัดการสวนยางพาราที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบในประเทศไทย เช่น การปลูกเชิงเดี่ยว และการปลูกพืชร่วมยางพารา เพื่อรองรับการตรวจมาตรฐาน ภายใน 1-2 ปี และ (6) ผลักดัน เร่งรัด และเพิ่มศักยภาพให้สวนยางพาราไทยผ่านมาตรฐานการรับรองการจัดการป่าไม้ในระดับนานาชาติตามปริมาณและความต้องการของผู้ซื้อภายใน 2 ปี