ฝ่าวิกฤตภัยแล้ง กับ ศรแดง แนะใช้พันธุ์ดี กินน้ำน้อย ผสมผสานเทคโนโลยี

ปี 2563 ประเทศไทย ต้องเตรียมรับมือกับวิกฤตภัยแล้งที่คาดว่าจะมีความรุนแรงมากเป็นอันดับสองในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่ ปี 2522 กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าประเทศไทยต้องเผชิญฝนแล้งยาวนานจนถึงเดือนมิถุนายน โดยคาดว่าปริมาณฝนจะต่ำกว่าค่าปกติ 3-5 เปอร์เซ็นต์ ในพื้นที่แล้งซ้ำซาก ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนบน นับเป็นเรื่องใหญ่ที่ประชากรทุกคนต้องตระหนักถึง โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งน้ำเป็นสำคัญ จำเป็นต้องวางแผนเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้

คุณอิสระ วงศ์อินทร์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด (เมล็ดพันธุ์ตราศรแดง) อธิบายถึงสถานการณ์ภัยแล้งและวิธีแก้ปัญหาว่า หากย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในปี 2559 ประเทศไทยเคยเจอวิกฤตภัยแล้งเหมือนอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นใน ปี 2563 โดยเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นทุก 5 ปี เรียกว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญ แต่ใน ปี 2563 ค่อนข้างรุนแรงมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะ

  1. เกิดฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลายาวนาน
  2. น้ำในเขื่อนใหญ่ทั้ง 14 เขื่อน จะเหลือน้ำใช้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์

ซึ่งถ้าเทียบกับ ปี 2559 บางเขื่อนยังพอมีน้ำประทังได้จนหมดภัยแล้ง ซึ่งทาง บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด ตระหนักถึงปัญหาตรงนี้ และมีความเป็นห่วงเกษตรกรทุกท่าน โดยเฉพาะชาวนาและเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ ที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำเยอะกว่าการปลูกพืชชนิดอื่น ส่วนเกษตรกรที่ปลูกพืชผักก็เริ่มเกิดความกังวลแล้วว่า ผักที่ตัวเองปลูกจะรอดไหม เพราะฉะนั้นในทุกภาคส่วนต้องมีการปรับตัวและช่วยเหลือกันให้ได้มากที่สุด

คุณอิสระ วงศ์อินทร์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด

ทาง บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด เริ่มมีความตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาภัยแล้ง และมีการเตรียมความพร้อมไว้ระยะหนึ่ง ในการที่จะนำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มเกษตรกร และที่ต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มเกษตรกรเป็นพิเศษ เพราะกลุ่มเกษตรกรหลักๆ ในประเทศไทย เป็นกลุ่มชาวนา รองลงมาคือ ชาวไร่ ปลูกมันสำปะหลัง อ้อย แต่เพียงแค่ว่าชาวนาจะได้รับผลกระทบเยอะที่สุด เพราะว่าเป็นพืชที่ใช้น้ำมากที่สุด ประมาณ 1,100 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในรอบการปลูก 100-120 วัน ดังนั้น เมื่อข้าวเป็นพืชที่ใช้น้ำในการปลูกมากที่สุดและเป็นเกษตรกรกลุ่มใหญ่ นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดภัยแล้งขึ้น ชาวนาจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

จึงได้เริ่มทำโครงการศรแดงพืชน้ำน้อย สู้ภัยแล้งขึ้นมา เพื่อช่วยแนะเกษตรกรที่ไม่สามารถปลูกข้าวได้ ให้หันมาปลูกพืชผักที่ใช้น้ำน้อย และอายุสั้นแทน โดยทางบริษัทมีงานวิจัยทดลองทำในฟาร์ม และจะยกตัวอย่างให้เกษตรกรได้เห็นว่า ในการปลูกข้าว 1 ไร่ ต้องใช้น้ำมากถึง 1,100 ลูกบาศก์เมตร แต่ถ้าปลูกผัก ข้าวโพด แตงกวา ถั่วฝักยาว ผักใบ จะใช้น้ำแค่ประมาณ 300-600 ลูกบาศก์เมตร ต่อการปลูก 1 ครอป นั้นหมายความว่าในช่วงที่เกษตรกรไม่สามารถทำนาได้ก็จะมีทางออก เป็นการปลูกพืชผักที่ใช้น้ำน้อย ระยะการปลูกสั้น และสร้างรายได้มากกว่า

 

ต่อยอด โครงการศรแดงพืชน้ำน้อย
เริ่มต้น ปีที่ 2 กุมภาพันธ์นี้

คุณอิสระ กล่าวถึงที่มาและจุดประสงค์ของโครงการศรแดงพืชน้ำน้อยว่า สืบเนื่องจากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ทาง บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด ได้ตระหนักถึงปัญหาภัยแล้งมาตลอด ประกอบกับมีความเชี่ยวชาญเรื่องเมล็ดพันธุ์อยู่แล้ว จึงได้จัดทำโครงการศรแดงพืชน้ำน้อย ขึ้นมาเพื่อช่วยเกษตรกร โดยโครงการจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี 2561/2562 มีการทำกิจกรรมร่วมกับทางภาครัฐ ซึ่งได้รับผลตอบรับจากเกษตรกรและทุกภาคส่วนดีมาก

เริ่มต้นที่กลุ่มเกษตรกรลุ่มน้ำภาคกลาง ที่จังหวัดอ่างทอง มีจำนวนสมาชิกกลุ่ม ประมาณ 300-400 คน ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ เกษตรกรชอบ เพราะเดิมทีเกษตรกรไม่มีความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืชผัก เพราะตลอดชีวิตอยู่กับการทำนา เขาจึงไม่รู้ว่าเมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมา เขาจะสามารถเอาตัวรอด เปลี่ยนนาข้าวเป็นแปลงผักได้อย่างไร ทางบริษัทจึงจัดทำโครงการศรแดงพืชน้ำน้อยขึ้นมาเพื่อช่วยให้เกษตรกรมองเห็นทางรอด เขาสามารถใช้พื้นที่บางส่วนที่ไม่สามารถทำนาได้มาปลูกผักเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อสร้างรายได้ตอนที่ยังไม่สามารถทำนาได้

เนื่องจากปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ เกษตรกรผู้ผลิตมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต ใน ปี 2562/2563 ทางศรแดง จึงได้ดำเนินงานต่อ สามารถดูรายละเอียดการเข้าร่วมได้ในตอนท้ายๆ

เมล็ดพันธุ์ผักใช้น้ำน้อยทั้ง 7 ชนิด ที่ศรแดงแนะนำ

ปลูกพืชน้ำน้อยกับศรแดง ทั้ง 7 ชนิด
ช่วยผ่านพ้นวิกฤตภัยแล้ง

จากที่ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด ได้ทำการวิเคราะห์ทดลองปลูกและได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า พืชใช้น้ำน้อยของศรแดงทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่

  1. ข้าวโพดข้าวเหนียว สวีทไวโอเล็ท และข้าวโพดหวาน จัมโบ้สวีท
  2. ฟักทอง ข้าวตอก และประกายเพชร
  3. ถั่วฟักยาว ลำน้ำชี และลำน้ำพอง
  4. แฟง สะพายเพชร
  5. แตงกวา ธันเดอร์กรีน และบิ๊กกรีน
  6. ผักใบ คะน้าพันธุ์บางบัวทอง 35 ผักบุ้งยอดไผ่ 9 และกวางตุ้งทศกัณฑ์
  7. พริก เพชรมงกุฎ

ใช้น้ำประมาณ 300-600 ลูกบาศก์เมตร ต่อการปลูก 1 ฤดู และพืชทั้ง 7 สายพันธุ์ ที่แนะนำได้รับการทดสอบจากแปลงทดลองในฟาร์มแล้ว ซึ่งมีตารางเปรียบเทียบปริมาณการใช้น้ำของแต่ละพืชไว้อย่างชัดเจน

  1. ข้าว อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 1,100 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 100 วัน
  2. อ้อย อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 1,500 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 300 วัน
  3. มันสำปะหลัง อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 1,200 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 365 วัน
ตารางเปรียบเทียบอัตราการใช้น้ำของพืชไร่และพืชใช้น้ำน้อย

จะเห็นได้ว่า พืชหลักของคนไทย ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ใช้น้ำมากกว่า 1,000 ลูกบาศก์เมตร ทั้งนั้นเลย แต่ถ้ากลับมาดูในส่วนของพืชผักที่ศรแดงแนะนำทั้ง 7 ชนิด เริ่มต้นด้วย

  1. ข้าวโพด อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 438 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 75 วัน
  2. ฟักทอง อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 616 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 90 วัน
  3. ถั่วฝักยาว อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 458 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 80 วัน
  4. แฟง อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 551 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 65 วัน
  5. แตงโม อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 668 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 85 วัน
  6. แตงกวา อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 660 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 50 วัน
  7. ผักใบ คะน้า กวางตุ้ง อัตราการใช้น้ำ ประมาณ 300 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ ในระยะเวลา 40-60 วัน

และในปีนี้ทางบริษัทเพิ่ม พริกขี้หนู เข้ามาอีก 1 ชนิด ในการปลูกพริก 1 ไร่ จะใช้น้ำใกล้เคียงกับการปลูกฟักทองประมาณ 600 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ และพริกเป็นพืชที่ปลูกง่าย ตลาดกว้าง และที่สำคัญพันธุ์พริกที่เพิ่มเข้ามา เป็นพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อทนแล้งโดยเฉพาะ สามารถปลูกในพื้นที่อาศัยน้ำฝนหรือไม่มีระบบน้ำชลประทาน

 

แนะนำเทคโนโลยีระบบน้ำ
ใช้ให้ตรงกับพืช คุ้มค่าเกินเงินลงทุน

คุณอิสระ อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบน้ำที่เหมาะสมในฤดูแล้งว่า ทางบริษัทได้ศึกษาระบบการให้น้ำที่คุ้มค่า และประหยัดที่สุดคือ ระบบเทปน้ำหยด และการทำระบบน้ำเยอะถือว่าเหมาะกับทุกพื้นที่ ถ้าจะให้ดีต้องมีอุปกรณ์เสริม คือพลาสติกคลุมดิน ซึ่งทั้งสองอุปกรณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกันคือ การคลุมพลาสติกก็เพื่อต้องการเก็บความชื้นในดินไม่ให้ระเหยออกไป หากปล่อยให้หน้าแปลงโดนแสงแดดเต็มๆ ทุกวัน น้ำจะระเหยหมด ซึ่งก็หมายความว่าน้ำที่ระเหยไปจะไม่เกิดประโยชน์ แต่ถ้านำพลาสติกมาคลุมไว้ก็จะช่วยเก็บรักษาความชื้นในดิน ช่วยประหยัดในเรื่องของการกำจัดวัชพืชเมื่อพืชไม่โดนแสงแดดจะไม่งอกออกมา แต่ถ้าเกษตรกรไม่สะดวกใช้พลาสติก เพราะไม่มีเงินลงทุน เกษตรกรสามารถใช้วัสดุที่มีอยู่ เช่น ฟางข้าว หรือใบไม้ที่มีในท้องถิ่นมาใช้แทนกันได้ ส่วนระบบน้ำหยด ซื้อครั้งเดียวสามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก 2-3 ครั้ง และปัจจุบันเกษตรกรจะสะดวกยิ่งขึ้น เพราะท่านสามารถไปซื้อที่ร้านขายอุปกรณ์การเกษตรแล้วบอกทางร้านได้เลยว่า ขนาดแปลงความกว้างความยาวเท่าไร ทางร้านจะสามารถแนะนำได้ทันทีว่า จะต้องใช้เทปน้ำหยดกี่เมตร ระบบเทปน้ำหยดถือว่าเหมาะกับเกษตรกรในช่วงหน้าแล้งมากที่สุด เหมาะทั้งเรื่องต้นทุน และช่วยประหยัดน้ำได้เยอะ

ตารางเปรียบเทียบผลตอบแทนพืชไร่และพืชน้ำน้อย

เกษตรกรมือใหม่ หมดกังวลการตลาด
ศรแดง ยินดีเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา

สำหรับเกษตรกรที่เป็นมือใหม่หัดปลูกพืชน้ำน้อย และมีความกังวลเรื่องการตลาด ปลูกแล้วขายที่ไหน คุณอิสระ บอกว่า นับเป็นความโชคดีของทางบริษัทที่

  1. ทางบริษัทมีเครือข่ายกับทางพ่อค้าแม่ค้า ปลูกเสร็จแล้วบริษัทมีตลาดรองรับ
  2. เกษตรกรที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการศรแดงพืชน้ำน้อย ท่านสามารถติดต่อมาสอบถามข้อมูลได้กับทางบริษัทได้โดยตรง
  3. ทางบริษัทจะมีพนักงานภาคสนามกระจายตัวอยู่ตามแต่ละจังหวัด ประมาณ 20 คน ที่พร้อมให้ความรู้ หรืออธิบายในเรื่องของการปลูกและการตลาด หรือถ้าเกษตรกรรวมกลุ่มกันได้ให้แจ้งมาทางบริษัท เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไปเพื่อช่วยให้คำปรึกษา
  4. กลุ่มร้านค้าตัวแทนจำหน่าย สามารถแจ้งความจำนงได้ว่า อยากให้บริษัทไปจัดโครงการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

สามารถติดต่อ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ได้ 3 ช่องทาง เบอร์โทร. 02-831-7777 เฟซบุ๊ก : เมล็ดพันธุ์ตราศรแดง เว็บไซต์ : www.eastwestseed.com

แปลงทดลองปลูกพืชน้ำน้อย

ประกวดใช้น้ำน้อย ปีที่ 2 อุทัยธานี

โครงการศรแดงพืชน้ำน้อย ปีที่ 2 เลือกทำโครงการนำร่องที่จังหวัดอุทัยธานี เนื่องจากอุทัยธานีเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบภัยแล้งมากที่สุด และความแตกต่างของทั้ง 2 โครงการ คือ

ปีที่ 1 มีการเสนอสายพันธุ์พืชเปรียบเทียบให้เห็นว่า พืชที่ใช้น้ำน้อยของศรแดง ทั้งหมด 7 ชนิด มีอะไรบ้าง มีพืชตระกูลแตง ตระกูลถั่ว ข้าวโพด ผักใบ คะน้า ผักบุ้ง แฟง ฟักทอง นำเกษตรกรเข้ามาอบรม และมีหน่วยส่งเสริมของบริษัทเข้าไปช่วยให้ความรู้ มีชุดกล่องเมล็ดพันธุ์และคำแนะนำต่างๆ ให้กับทางภาครัฐ เพื่อช่วยส่งเสริมเกษตรกร

แต่ใน ปีที่ 2 ทางบริษัทมองว่า การให้คำแนะนำเรื่องเมล็ดพันธุ์อย่างเดียวคงไม่พอ แต่สิ่งที่ต้องเพิ่มเติมคือ เรื่องของเทคโนโลยีการใช้น้ำ ใช้น้ำอย่างไรให้เกิดคุณค่าสูงสุด ยกตัวอย่าง ระบบน้ำหยด สปริงเกลอร์ หรือระบบหัวฉีดต่างๆ ถือเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่จะให้เกษตรกรเรียนรู้แล้วนำไปใช้ เพียงแต่เกษตรกรต้องลงทุนเพิ่มเติมในส่วนนี้ แต่ถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่าจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เจอในปัจจุบัน

กติกาการเข้าร่วมโครงการ ปีที่ 2 …เริ่มแข่งขันเดือนกุมภาพันธ์ เสร็จสิ้นใช้เวลา 60-65 วัน รับสมัครตัวแทนของตำบล หรือหมู่บ้าน เกษตรกรที่เข้ามาสมัครจะต้องมีแปลงปลูกพืช 3 แปลง และต้องใช้ระบบน้ำกับเมล็ดพันธุ์ที่ทางโครงการจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งระบบน้ำ เมล็ดพันธุ์ และค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ทางโครงการจะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ เกษตรกรมีหน้าที่ทำตามกติกาที่ตั้งไว้ โดยจะมีทีมพี่เลี้ยงถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แต่ละกลุ่ม ดูแลทุกขั้นตอนจนถึงการเก็บเกี่ยว และวันสุดท้ายของการเก็บเกี่ยวจะมีการตัดสินว่า กลุ่มใดเป็นผู้ชนะ หลังจากนั้น จะมีการมอบรางวัลเป็นสินน้ำใจ ซึ่งโครงการไม่ได้มุ่งหวังแจกของรางวัลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการให้โครงการศรแดงพืชน้ำน้อยไปถึงเกษตรกร และอยากให้เกษตรกรมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญเกษตรกรที่เข้าร่วมสามารถที่จะนำเอาองค์ความรู้ไปต่อยอดถ่ายทอดให้กับเพื่อนบ้านได้

เกณฑ์พิจารณาการให้คะแนน

  1. พิจารณาดูว่าเกษตรกรสามารถนำสิ่งที่ให้ไป นำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่หรือไม่
  2. ผลผลิตที่ได้ น้ำหนัก ความสวยงาม เป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่

ของรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ

รางวัลที่ 1 เงินรางวัล 18,500 บาท

รางวัลที่ 2 เงินรางวัล 12,000 บาท

รางวัลที่ 3 เงินรางวัล 6,500 บาท

ทั้ง 3 รางวัลนี้ จะมีอุปกรณ์ทำการเกษตร ระบบน้ำ เมล็ดพันธุ์ผัก ให้ไปพร้อมเพื่อให้เกษตรกรได้มีทุนต่อยอด

แปลงทดลองปลูกพืชน้ำน้อย