โรงสีอาหารสัตว์ซื้อข้าวเสื่อม ฟาร์มหมูราชบุรีกวาดล้านตัน

เอกชนมึน “7 โรงสี” ผ่านเกณฑ์ร่วมประมูลชิงข้าวเสื่อมบิ๊กลอต 3.66 ล้านตัน “เฮงเพิ่มพูน” เสนอราคาซื้อต่ำสุด 1.88 บาท/กก.บิ๊กอาหารสัตว์ราชบุรี “วี.ซี.เอฟ.” กวาดซื้อสูงสุด 8 แสนตัน มั่นใจรัฐขายได้ไม่ต่ำกว่า 80% อุดช่องนำเข้าข้าวสาลี

แหล่งข่าวจากวงการข้าวเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลการเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาประมูลข้าวสารสต๊อกรัฐบาลเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มิใช่คนบริโภค ครั้งที่ 1/2560 ปริมาณ 3.66 ล้านตัน

มีผู้ผ่านคุณสมบัติ 19 ราย แต่ยื่นซองเสนอราคา 16 ราย เป็นที่น่าสังเกตว่ามีกลุ่มผู้ประกอบการโรงสีเข้าร่วมเสนอราคาถึง 7 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือ หจก.เฮงเพิ่มพูน ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาระดับต่ำสุด 1.80 บาทต่อกิโลกรัม

“ในเงื่อนไขการประมูลกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมประมูลว่าจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตประกอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน แต่กลับมีโรงสีผ่านเกณฑ์ประมูล 7 ราย”

นอกจากนี้ยังมีบริษัท นิรันดร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตกรดมะนาว (กรดซิตริก) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีบริษัท นิรันดร์(ฮ่องกง) อินเวสต์เม้นท์ถือหุ้น 100% ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2552 ทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านบาท มีนายเผิง ฉีเหว่ย (สัญชาติจีน) เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ แต่บริษัทนี้ไม่ได้ซื้อในปริมาณมากจนเป็นที่น่าจับตามองเช่นเดียวกับกลุ่มอาหารสัตว์และกลุ่มโรงสี

แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตว่า เหตุผลที่อนุญาตให้โรงสีเข้าร่วมประมูลได้ในครั้งนี้ เพราะทีโออาร์เดิมเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อหลักในทางปฏิบัติที่แท้จริง เพราะถึงแม้ว่าจะมีการเปิดประมูล เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แต่ไม่สามารถนำข้าวไปใช้ได้ทันที เพราะข้าวในคลังของรัฐบาลที่จัดเก็บมานาน และมีสิ่งปลอมปน เช่น ขุยกระสอบจำนวนมาก จำเป็นต้องนำไปผ่านกระบวนการแยกสิ่งปลอมปนก่อน ซึ่งทางปฏิบัติมีแต่โรงสีเท่านั้นจะทำได้ แล้วจึงส่งเข้าโรงงานอาหารสัตว์ เพราะไม่อย่างนั้นการผลิตอาหารสัตว์จะไม่ได้มาตรฐาน และอาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ยกเว้นการนำไปผลิตอาหารปลาสามารถนำไปใช้ได้ทันที

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า การประมูลครั้งนี้รัฐบาลจะสามารถขายข้าวได้ถึง 80% หรือประมาณ 1.8 ล้านตันจากยอดเสนอซื้อสูงสุด 2.07 ล้านตัน โดยผู้ชนะการประมูลสูงสุดน่าจะเป็นกลุ่มอาหารสัตว์ ได้แก่ บริษัท วี.ซี.เอฟ. กรุ๊ป จำกัด โรงงานอาหารสัตว์ เเละฟาร์มสุกรรายใหญ่ที่สุดใน จ.ราชบุรี เสนอซื้อ 800,000 ตัน ราคาเฉลี่ยตันละ 3,000-5,000 บาท รองลงมาคือ กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่ใน จ.ราชบุรีในเครือ “นิติกาญจนา” ซึ่งมี 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอส พี เอ็มอาหารสัตว์ ของนายสมชาย นิติกาญจนา และบริษัท กาญจนาอาหารสัตว์ ของนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา และนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา อดีตที่ปรึกษาของนางพรทิวา นาคาศัย อดีต รมว.พาณิชย์

“หากรัฐพิจารณาขายให้กับกลุ่มอาหารสัตว์จำนวนมากอาจไม่จำเป็นต้องนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศ ตามที่สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยเรียกร้องขอให้นำเข้าเพื่อมาชดเชยผลผลิตข้าวโพดที่มีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์”

ล่าสุด นายกีรติ รัชโน รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า มีเอกชน 15 รายที่ยื่นเสนอซื้อในราคาสูงสุดรวมปริมาณ 2.07 ล้านตัน ใน 157 คลัง หรือคิดเป็นสัดส่วน 56.50% ของปริมาณข้าวที่เปิดประมูลทั้งหมด มูลค่าที่เสนอซื้อ 9,205 ล้านบาท และมีการเสนอซื้อข้าวราคาตั้งแต่ 1,880-5,100 บาท/ตัน หรือ 1.88-5.10 บาท/กก. โดยราคาเฉลี่ยที่เสนอซื้อครั้งนี้ 4-5 บาท/กก. คาดว่ากรมจะนำผลการประมูลเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานระบายข้าวในวันที่ 28 มี.ค.นี้ เพื่อพิจารณาว่าจะขาย

“หลักเกณฑ์การพิจารณาขายต้องนำข้อมูลรอบด้านมาเทียบเคียงราคาวัตถุดิบที่กลุ่มอาหารสัตว์นำไปผลิต เช่น มันเส้น ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 5 บาท/กก. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อยู่ที่ 8 บาท/กก. รวมทั้งผลกระทบของตลาด และภาระค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสต๊อกข้าว ที่ปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 17 ล้านบาท/วัน ก่อนเสนอประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) อนุมัติต่อไป”

นายกีรติกล่าวว่า ตามแผนการเปิดระบายสต๊อกข้าวรัฐบาลที่ได้รับความเห็นชอบจาก นบข.ในเดือน เม.ย.จะนำข้าวกลุ่ม 3 ที่เก็บเกิน 5 ปีขึ้นไป และเป็นข้าวผิดชนิด ผิดมาตรฐาน ที่ไม่เหมาะสมทั้งการบริโภคของคนและสัตว์ต้องเข้าสู่อุตสาหกรรมพลังงานอย่างเดียวลอตสุดท้ายปริมาณ 1.8 ล้านตัน มาเปิดประมูล หลังจากนั้นในเดือน พ.ค.จนถึง ก.ค จะนำข้าวที่เหลือจากการประมูลทุกกลุ่มมาประมูลใหม่ โดยเริ่มจากในกลุ่ม 1 ข้าวเกรด พี เอ บี และมีเกรด ซีปนไม่เกิน 20% ที่คนสามารถบริโภคได้ ที่เหลืออยู่ 1.5 ล้านตัน, เดือน มิ.ย.ประมูลข้าวกลุ่ม 2 ที่เข้าสู่อุตสาหกรรมมิใช่คนบริโภคที่เหลือจากประมูลครั้งนี้ และเดือน ก.ค.จะนำข้าวกลุ่ม 3 ที่จะเปิดประมูลในเดือน เม.ย.หากระบายไม่หมดมาประมูลใหม่ จึงเชื่อว่าภายในปี 2560 รัฐบาลน่าจะระบายข้าวออกจากสต๊อกได้หมดจากจนถึงขณะนี้ที่ระบายไปแล้ว 10.1 ล้านตันจากสต๊อกที่รับมา 18 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.03 แสนล้านบาท ยังไม่รวมข้าวที่ระบายในปีนี้ ส่วนการส่งออกข้าวไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 มี.ค. 2560 มีปริมาณ 2.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.7% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา มูลค่า 3.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 1%

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์