กากมอลต์เบียร์อบแห้งคุณภาพ ของ “สองหมอฟาร์ม” ที่อุดรธานี ทางเลือกที่ประหยัดและคุ้มค่า

เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ได้นำเสนอเรื่องราวกากมอลต์เบียร์สดที่ผลิตโดย “สองหมอฟาร์ม” ธุรกิจที่เน้นผลิตวัตถุดิบลดต้นทุนเพื่อใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ จนได้รับความสนใจจากพี่น้องเกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศอย่างคับคั่ง

กากมอลต์เบียร์เป็นวัตถุดิบนำไปใช้ผสมกับอาหารสัตว์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วัว ควาย หมู ปลา เป็ด ไก่ แพะ แกะ หรือจิ้งหรีด แต่จะต้องมีอัตราการผสมที่ถูกต้องเหมาะสมจึงจะได้ผล การนำกากมอลต์เบียร์มาเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ช่วยทำให้ต้นทุนค่าอาหารของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ลดลง เจ้าของฟาร์มมีรายได้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีเกษตรกรจำนวนมากหันมาใช้กากมอลต์เบียร์ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์กันอย่างมากมาย

แม้ว่ากากเบียร์สดจะตอบโจทย์กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ได้ในเรื่องคุณภาพ ราคาไม่แพง แต่เป็นเพียงระดับหนึ่งเนื่องจากกากเบียร์สดมีข้อจำกัดในบางประการ อาทิ ระยะเวลาการเก็บรักษาที่ต้องรีบเร่งใช้ให้หมดเพราะอาจส่งกลิ่น, ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บ

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงทำให้สองหมอฟาร์มต่อยอดพัฒนากากเบียร์สดมาเป็นแบบแห้งโดยผ่านกระบวนการผลิตที่ทันสมัย แล้วยังได้รับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เชื่อถือ กากเบียร์อบแห้งสองหมอฟาร์มนับเป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่สามารถตอบโจทย์ได้แท้จริง ทั้งในเรื่องความประหยัด ความสะดวกในการจัดเก็บ ให้คุณภาพสูง แล้วยังเก็บรักษาไว้ได้นาน

“สองหมอฟาร์ม” เป็นธุรกิจที่เกิดจาก คุณสุภาวิณี สังสัมฤทธิ์ หรือ จิ๊บ กับ คุณอรุณี นามอาษา หรือ เจี๊ยบ fb : สองหมอฟาร์ม อุดรธานี กากเบียร์ อาหารวัว อาหารสัตว์ โทรศัพท์ (064) 6597-892, (093) 832-4844

คุณจิ๊บ บอกว่า กากเบียร์สดที่จำหน่ายตอนแรกได้รับความสนใจมาก แต่มีข้อจำกัดบางอย่าง จึงมีแนวคิดผลิตเป็นแบบแห้ง เพราะสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบส่วนผสมของหัวอาหารสัตว์ได้หลายชนิด เนื่องจากมีข้อดีคือมีความเข้มข้นของโปรตีนทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก จึงช่วยลดต้นทุน โดยระยะแรกใช้วิธีตากแดดบนลาน ต้องใช้เวลา 3-4 วันกว่าจะแห้งใช้งานได้ แต่ก็ไม่ได้แห้งเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้เกิดเชื้อรา ขณะเดียวกัน การตากบนลานยังมีเศษฝุ่นทรายปะปน ทำให้ต้องจัดการแยกกรองก่อน ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ต้องเสียเวลา

เมื่อกากเบียร์แห้งขายดีมากขึ้น จึงตัดสินใจผลิตให้ได้มาตรฐานกว่าเดิมด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เป็นเครื่องอบแห้งที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ได้มาตรฐาน ทำให้กากเบียร์อบแห้งที่ผ่านกระบวนการมีความละเอียด ทั้งยังสามารถควบคุมความชื้นให้ได้มาตรฐาน

ดูกันชัดๆว่ามีความละเอียด สะอาด เพื่อความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง

ขั้นตอนและกระบวนการให้นำกากเบียร์สดเข้าสู่เครื่องอบแห้งได้เลย ใช้เวลาอบรวดเร็ว หลังจากอบแห้งแล้วจะมีกลิ่นหอม สามารถเก็บไว้ได้นานหลายปี มีความชื้น 8-10 เปอร์เซ็นต์ ให้โปรตีนได้ 29 เปอร์เซ็นต์ (แบบสดมีโปรตีน 20 เปอร์เซ็นต์) การผลิตแต่ละครั้งใช้กากเบียร์สดประมาณ 6-7 รถพ่วง ผลิตแล้วได้กากเบียร์อบแห้งประมาณ 2 รถพ่วง

แบบกระสอบ 30 กิโลกรัม

คุณจิ๊บเปรียบเทียบต้นทุนระหว่างกากเบียร์สดกับกากเบียร์อบแห้งว่า ถ้าใช้กากเบียร์สดผลิตอาหารของวัวประมาณ 6-8 กิโลกรัม ต่อตัว ต่อวัน คิดเป็นต้นทุนกิโลกรัมละ 3 บาทจะมีค่าใช้จ่ายประมาณตัวละ 18-24 บาท ต่อวัน เมื่อใช้แบบอบแห้งมีต้นทุนเฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.50 บาท ใช้ 2 กิโลกรัม ต่อตัว ต่อวัน มีค่าใช้จ่าย 21 บาท ต่อวัน ลดลงไป 3 บาท แถมได้โปรตีนเพิ่มมากกว่า แล้วยังเก็บไว้ได้นานกว่า สะดวกกว่าด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแบบมีข้อดีและข้อเสียต่างกันขึ้นอยู่กับเกษตรกรจะพิจารณาความเหมาะสมการเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่ง

คุณจิ๊บต้องตรวจสอบคุณภาพด้วยตัวเองทุกครั้ง

ผลิตภัณฑ์กากเบียร์อบแห้ง “สองหมอฟาร์ม” ได้ผ่านการตรวจคุณภาพทั้งในเรื่องโปรตีน ไขมัน และความชื้นจากแล็บมาตรฐาน อีกทั้งในส่วนของโรงงานยังได้ผ่านการรับรองมาตรฐานเป็นที่เรียบร้อย ได้รับความสนใจจากลูกค้ามีทั้งแบบรายย่อยและกลุ่มธุรกิจเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ที่ตอบสนองความต้องการได้อย่างดี

ขณะตักใส่สิบล้อเพื่อส่งขายให้ลูกค้า

การจำหน่ายจะแบ่งเป็นแบบบรรจุใส่ถุงหรือตักใส่รถบรรทุกสำหรับลูกค้าที่ใช้ในระดับอุตสาหกรรม โดยราคาจำหน่าย แบบแพ็กกระสอบ ราคาปลีก กระสอบละ 315 บาท (30 กิโลกรัม) ราคาส่งจำนวน 4 ตันขึ้นไป 305 บาท ต่อกระสอบ หรือแบบตักเบ้าต์ รถพ่วงกิโลกรัมละ 9 บาท ทั้งหมดนี้เป็นราคาหน้าโรงงาน

สำหรับกากเบียร์สดปัจจุบันยังผลิตขายอยู่ ยังได้รับความนิยมจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์จำนวนมากเพราะมีคุณภาพจากคุณค่าของของโปรตีนที่เข้มข้น ขายราคาไม่แพง แต่อาจมีข้อจำกัดบ้างในเรื่องอายุการเก็บใช้งานสั้น สถานที่เก็บที่ต้องมีพื้นที่ แล้วถ้าเก็บไว้นานเกินไปอาจส่งกลิ่น

แบรนด์คุณภาพของกากมอลล์เบียร์สดอาหารสัตว์ลดต้นทุนและวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาถูก“ผลิตภัณฑ์กากเบียร์อบแห้ง “สองหมอฟาร์ม” ช่วยตอบโจทย์ความประหยัด สะดวก แล้วยังเพิ่มคุณภาพสัตว์เลี้ยงทุกชนิดของเกษตรกรได้อย่างดี มีความปลอดภัย และคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์วัตถุดิบชนิดอื่นที่คุณภาพแบบเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ถ้าอะไรที่ช่วยประหยัดแล้วมีคุณภาพจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นอีกทางเลือกให้เกษตรกร” คุณจิ๊บ กล่าวในท้ายสุด