กสว. ยินดีเปิดรับโจทย์วิจัยแก้ปัญหาประเทศ ไก่โคราช-เกษตรแม่นยำลุยขยายเครือข่าย

ประธานบอร์ด กสว. พร้อมเปิดรับโจทย์วิจัยโดยตรงจากสภานิติบัญญัติและทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ปัญหาประเทศ มั่นใจมีผลงานคุ้มค่าการลงทุน ไม่ขึ้นหิ้ง ด้าน มทส.จับมือเบทาโกรขยายผลใน ส.ป.ป.ลาว และกัมพูชา ขณะที่ รมว.สธ.-ส.ส.ลำพูนแนะทีมเกษตรแม่นยำขยายเครือข่ายและประยุกต์ใช้งานระบบเซ็นเซอร์ทางเคมีในพื้นที่เพิ่มเติม

ศ.นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยภารกิจการส่งเสริมระบบการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดงานนิทรรศการ “ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) กับการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ ณ อาคารสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐสภา เกียกกาย นับเป็นการตอบโจทย์ภาคประชาชนและภาคนโยบายผ่านงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาของประเทศและงานวิจัยที่สามารถนำไปกำหนดนโยบาย  โดยมีหน่วยบริหารจัดการทุนเป็นหน่วยผลิตผลงานวิจัย เพื่อลดคำวิจารณ์ “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” และลดความซ้ำซ้อนของการสนับสนุนทุนวิจัย โดยพยายามที่จะตอบโจทย์ของทุกภาคส่วน เช่น ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) การต่อยอดและย่อยงานวิจัยให้เข้าใจง่าย เช่น คู่มือเทคนิคการปลูกลำไยนอกฤดู และแอปพลิเคชั่นต่างๆ

“สกสว.ยินดีที่จะเป็นแหล่งรับโจทย์วิจัยจากฝ่ายต่างๆ กระจายสู่หน่วยบริหารจัดการทุน และนำงานวิจัยพร้อมใช้มาขยายผลต่อยอดผ่าน ส.ส. ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนและรู้ถึงปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดี ดังนั้น หากมีปัญหาใดทางเราพร้อมที่จะนำมาเป็นโจทย์วิจัย และมั่นใจว่าจะมีผลงานที่คุ้มค่ากับการลงทุนวิจัย ดังจะเห็นได้จากการต่อยอดผลงานวิจัย การพึ่งพาเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลายอย่างในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เราพัฒนาขึ้นเอง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายของเรา รวมถึงโรคต่างๆ ที่สำคัญต่อสาธารณสุขของไทย และการดูแลภาคเกษตร เป็นต้น”

ด้าน รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล รักษาการผู้อำนวยการ สกสว. ระบุว่า ขอขอบพระคุณทางรัฐสภาที่เปิดพื้นที่ให้หน่วยงานวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้นำตัวอย่างผลงานวิจัยที่มีการใช้ประโยชน์ของหน่วยบริหารจัดการทุนทั้ง 7 แห่ง รวมทั้งผลงานเด่นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือ สกสว.เดิม มาจัดแสดงซึ่งมีทั้งงานเชิงพื้นที่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อการขับเคลื่อนและแก้ปัญหาของประเทศ ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีจากฝั่งสภาผู้แทนราษฎร และเพิ่มโอกาสในการจัดแสดงนิทรรศการในฝั่งวุฒิสภาในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ต่อด้วย

สำหรับผลงานวิจัยเด่นที่นำมาจัดแสดง เช่น “ไก่โคราช” ผศ.ดร.อมรรัตน์ โมฬี หัวหน้าโครงการวิจัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขยายผลงานวิจัยสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศภายใต้ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) กับบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ว่าจะมีการทำตลาดผ่านเพจประชาสัมพันธ์ และคัดเลือกพรีเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี โดยขณะนี้มีวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่างเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ทั่วประเทศ รวมถึงร้านอาหารระดับ 4 ดาว นอกจากนี้ ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีผลิตภัณฑ์ไก่โคราชในรายการอาหารของสุกี้เอ็มเคด้วย รวมถึงจะส่งและเนื้อไก่ชำแหละไปจำหน่ายในเวียงจันทน์ ส,ป.ป.ลาว และวางแผนจะส่งลูกเจี๊ยบไปช่วยส่งเสริมการเลี้ยงไก่โคราชให้กับเกษตรกรเครือข่ายของเบทาโกรในกรุงพนมเปญและเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และกำลังดำเนินการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับจังหวัดศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ และ ธ.ก.ส. เพื่อให้เป็นศูนย์กลางไก่โคราชอินทรีย์แบบครบวงจรในช่วงปลายปีนี้ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เนื่องจากเป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์ขนาดใหญ่ และมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษช่วยทำแบรนด์ ทั้งนี้ จังหวัดศรีสะเกษและชัยภูมิจะขอเข้ามาสังเกตการณ์เพื่อนำไปขยายผลแก่เกษตรกรด้วย ปัจจุบันเกษตรกรเครือข่ายมีกำไรจากการจำหน่ายไก่ไม่ต่ำกว่า 20 บาท ต่อตัว หากเลี้ยงไก่ 10,000 ตัว จะมีกำไรถึง 200,000 บาท แต่ก็ยังมีบางรายที่ยังทำไม่ได้ตามเป้าเพราะประสิทธิภาพยังไม่ดีพอ ซึ่ง มทส.และเบทาโกรจะช่วยกันผลักดันให้เกษตรกรกลุ่มนี้ผลิตไก่ที่ได้คุณภาพมาตรฐาน

Advertisement

ด้าน ผศ.ดร.ภก.เฉลิมพงษ์ แสนจุ้ม นักวิจัยในชุดโครงการเกษตรแม่นยำ เผยว่า ระบบเซ็นเซอร์ทางเคมีในการตรวจวิเคราะห์ธาตุอาหารหลักของพืชในดิน (CSS-TPSA) เพื่อเกษตรแม่นยำและยั่งยืนวิถีไทย ได้รับความสนใจจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นอย่างมาก โดยแนะนำให้ขยายเครือข่ายและเพิ่มพื้นที่ของเกษตรกรที่เข้าร่วมใช้ระบบดังกล่าว ขณะที่ นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน สนใจนำระบบเซ็นเซอร์ไปประยุกต์ใช้ในการเพาะปลูกสมุนไพรเพื่อเพิ่มสารสำคัญสำหรับการนำมาใช้ประโยชน์ทางยา ทั้งนี้ ระบบเซ็นเซอร์ทางเคมีที่พัฒนาขึ้นนี้มีจุดเด่นคือ ราคาถูก ใช้งานง่าย และสะดวก ช่วยทำให้เกษตรกรไทยลดต้นทุนการผลิต สามารถใส่ปุ๋ยได้อย่างแม่นยำตามสภาพดินและความต้องการของพืช ลดการนำเข้าปุ๋ยเคมีและใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบยุทธศาสตร์ชาติด้าน “เกษตรสร้างมูลค่าแม่นยำ” และการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ โดยปัจจุบันมีการนำระบบเซ็นเซอร์ทางเคมีไปใช้กับสวนส้มเขียวหวาน สวนทุเรียน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ข้าวและข้าวโพด จังหวัดพะเยา และกำลังวางแผนขยายเครือข่ายในภาคเหนือ เพราะหากลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมีจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อน้ำที่ไหลลงจากภาคเหนือสู่ภาคกลาง