ที่มา | แปรรูปได้ขายดี |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิต เมืองสุข |
เผยแพร่ |
กาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า เป็นกาแฟที่นิยมปลูกในพื้นที่ราบ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่มากนัก ในประเทศไทยเรานิยมปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้ามากในภาคใต้ โดยร้อยละ 98 กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ มีเพียงร้อยละ 2 เป็นกาแฟอาราบิก้า ที่นิยมปลูกในภาคเหนือ
ในอดีต กาแฟโรบัสต้า ปลูกมากที่สุดในจังหวัดชุมพร ระนอง กระบี่ และสุราฎร์ธานี แต่ปัจจุบันเมื่อราคาซื้อขายปาล์มน้ำมันและยางพาราสูงขึ้น เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟส่วนใหญ่จึงพากันโค่นต้นกาแฟ และลงยางพาราหรือปาล์มน้ำมันแทน พื้นที่ปลูกกาแฟจึงลดลงตามลำดับ ประกอบกับราคาซื้อขายเมล็ดกาแฟสดลดลงเรื่อยๆ ทำให้การทำไร่กาแฟถูกละเลย
ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตร พบว่า สถานการณ์พื้นที่ปลูกกาแฟไทยปัจจุบันลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกาแฟโรบัสต้าในภาคใต้ ที่ลดลงสูงมากถึงปีละประมาณ 20,000 ไร่ เนื่องจากเกษตรกรนำพื้นที่ไปปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันแทน
กาแฟคลองท่อม หรือกาแฟกระบี่ เป็นกาแฟที่ได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพระดับหนึ่ง เนื่องจากบริเวณพื้นที่ปลูกมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ ตำแหน่งพื้นที่และสภาพอากาศเหมาะสม ผลผลิตเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าของอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ จึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจประจำท้องถิ่นชนิดหนึ่ง
มูลค่าทางการตลาดของผลผลิตทางการเกษตร ย่อมมีขึ้นลง และอาจประสบปัญหาราคาต่ำ ทำให้ประคองตัวอยู่ยาก และแม้ว่ากาแฟจะเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ก็หนีไม่พ้นปัญหาดังกล่าว โดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟสดสตรีคลองท่อมเหนือ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ให้ข้อมูลว่า ราคาขายเมล็ดกาแฟสดแต่เดิมมีมูลค่าสูงถึงกิโลกรัมละ 200 บาท แต่ต่อมาราคาเมล็ดกาแฟสดลดลง และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ จนทำให้ชาวสวนกาแฟเปลี่ยนจากการปลูกกาแฟ เป็นสวนยางพาราหรือสวนปาล์มน้ำมันไปหมด
เฉพาะพื้นที่อำเภอคลองท่อม มีพื้นที่ปลูกกาแฟในอดีตมากถึง 15,000 ไร่ แต่ปัจจุบันลดลง เหลือเพียง 1,500 ไร่ เท่านั้น
แม้ว่าพื้นที่ปลูกจะลดลง แต่ยังยืนยันได้ว่า คุณภาพกาแฟของอำเภอคลองท่อม ไม่ลดลง เพียงแต่เมื่อราคาซื้อขายในตลาดต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ผู้ปลูกกาแฟต้องหวนคิดหนัก ถึงต้นทุนที่ไม่ได้ลดลงตามราคาจำหน่ายเมล็ดกาแฟสด จนมีแนวคิดแปรรูปเมล็ดกาแฟจำหน่าย เพื่อเพิ่มมูลค่า
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟสดสตรีคลองท่อมเหนือ เริ่มนำกาแฟพันธุ์โรบัสต้ามาปลูก ตั้งแต่ปี 2518 เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟทุกรายขายเมล็ดกาแฟสดให้กับพ่อค้าคนกลาง เมื่อราคากาแฟตก จึงมีแนวคิดนำเมล็ดกาแฟสดไปแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าและช่องทางการจำหน่าย เริ่มแรกจากการทำเป็นอุตสาหกรรมครอบครัวเล็กๆ โดยการนำเมล็ดกาแฟมาตากแห้ง คั่วแล้วนำมาตำให้ละเอียด ใส่ถุงกรอง เป็นเมล็ดกาแฟบดจำหน่าย
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟสดสตรีคลองท่อมเหนือ มีสมาชิก 134 คน รับซื้อผลิตผลเมล็ดกาแฟสดจากสมาชิกซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูก โดยให้ราคาสูงกว่าท้องตลาดกิโลกรัมละ 5 บาท เมื่อได้กำไรจะมีการปันผล ตามระเบียบข้อบังคับของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ส่วนผู้ที่เข้ามาทำงานให้กับกลุ่มในแต่ละวัน จะได้รับค่าจ้างตามจำนวนซองของกาแฟบรรจุซองทรีอินวัน หากทำงานตามเวลาปกติสมาชิกบางรายสามารถบรรจุกาแฟได้มาก 600-1,000 ซอง ในแต่ละสัปดาห์ทำงานเพียง 3 วัน ยกเว้นช่วงเทศกาลที่มีลูกค้าสั่งจำนวนมาก อาจต้องทำงานต่อเนื่องตลอดสัปดาห์
จากเดิม กลุ่มวิสาหกิจแห่งนี้ใช้อุปกรณ์ในครัวเรือนคั่วเมล็ดกาแฟ นำมาตำในครก แล้วบรรจุลงกระปุกเพื่อจำหน่าย เพราะยังไม่มีเครื่องจักรกลเข้ามา แต่เมื่อกลุ่มเริ่มเข้มแข็ง ทำให้หน่วยงานภาครัฐเห็นความตั้งใจและเข้ามาส่งเสริม จึงมีเงินทุนสนับสนุนเครื่องมือในการแปรรูป เป็นเครื่องบรรจุภัณฑ์ เครื่องคั่วเมล็ดกาแฟ
ปัจจุบันทางกลุ่มได้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปทรีอินวัน 2 สูตร คือ สูตรเข้มเต็มรส และสูตรเข้ม x2 ผลิตภัณฑ์ได้รับเครื่องหมาย อย. และเครื่องหมายฮาลาล ภายในปีแรกที่ผลิต ส่วนกำลังการผลิตวันละ 3,750 ซอง บรรจุถุงขายส่ง ถุงละ 25 ซอง สำหรับรายได้หักต้นทุนแล้วเฉลี่ยเดือนละ 2 แสนบาท
กาแฟบรรจุถุงทรีอินวัน เพิ่งเริ่มดำเนินการมาได้เพียง 5 ปี แต่ได้รับการตอบรับดี เพราะเชื่อว่ารสชาติของกาแฟคลองท่อมทั้งเมล็ดคั่วบดและทรีอินวันไม่เป็นรองใคร เนื่องจากมีขั้นตอนการผลิตที่ละเอียด ขั้นตอนหลัก มีเพียง 3 ขั้นตอน คือ การผสม การบรรจุ และการซีล ในการคั่วเมล็ดกาแฟก่อนจะมาเป็นกาแฟทรีอินวันซองนั้น ต้องผ่านกรรมวิธีการคั่วในอุณหภูมิที่ต่างกัน คือ อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส จากนั้นนำเมล็ดกาแฟคั่วบดที่ผ่านอุณหภูมิต่างกันมารวมกันตามสัดส่วนที่เหมาะสม ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของกาแฟที่นี่
ความพิเศษที่หาไม่ได้จากกาแฟที่อื่น แต่มีที่กาแฟคลองท่อม หรือกาแฟกระบี่ คือ รสชาติที่เข้มข้นด้วยคุณภาพในสายพันธุ์ของโรบัสต้า ซึ่งพบได้ที่นี่เพียงแห่งเดียว เนื่องจากพื้นที่บริเวณคลองท่อม เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุภูเขาไฟในดินสูง
เมล็ดกาแฟสดที่รับซื้อมา เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตแล้ว จะเพิ่มมูลค่าสูงขึ้น เช่น รับซื้อเมล็ดกาแฟสดในราคากิโลกรัมละ 70 บาท เมื่อคั่วเสร็จ ราคาเมล็ดกาแฟจะสูงขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 400 บาท
แต่เมล็ดกาแฟสด น้ำหนัก 10 กิโลกรัม เมื่อคั่วเสร็จแล้ว น้ำหนักจะลดลงเหลือเพียง 8 กิโลกรัม
ในแต่ละปีมีลูกค้าให้ความสนใจสั่งซื้อจำนวนมากถึง 5-10 ตัน
สำหรับการทำไร่กาแฟ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญ สำหรับการนำเมล็ดกาแฟสดไปแปรรูป แม้ว่าพื้นที่ปลูกจะเหลืออยู่เพียง 1,500 ไร่ในพื้นที่อำเภอคลองท่อมก็ตาม แต่การดูแลรักษาให้ผลผลิตได้คุณภาพ ก็เป็นเรื่องที่เกษตรกรต้องใส่ใจ
ส่วนการปลูกและดูแลกาแฟให้ได้ผลผลิตไม่ใช่เรื่องยาก แต่ควรใส่ใจดูแล เพื่อให้ได้คุณภาพ โดยเริ่มเพาะจากกล้ากาแฟก่อน เมื่อต้นกล้าเริ่มแข็งแรงให้นำลงปลูก ขุดหลุมลึกประมาณ 25-30 เซนติเมตร ปากหลุมไม่กว้างมากนัก รองด้วยปุ๋ยน้ำตาล หรือปุ๋ยขี้ค้างคาว เพราะเป็นวัตถุดิบที่หาง่ายในท้องถิ่น และควรลงปลูกในช่วงเดือนพฤษภาคม เพราะเป็นช่วงฤดูฝน เมื่อนำลงหลุมปลูก ควรกลบไม่ต้องพูนดิน ไม่ต้องรดน้ำ ให้ต้นกาแฟรับน้ำตามธรรมชาติ แต่ควรดูแลไม่ให้มีวัชพืชในไร่กาแฟ เพื่อความสะดวกเมื่อถึงฤดูการเก็บเมล็ดกาแฟ ซึ่งเมล็ดกาแฟอาจร่วงหล่นลงใต้ต้นกาแฟขณะเก็บ
ควรทำวัชพืชให้เตียน ไม่ต้องให้น้ำเลยหลังจากนำต้นกล้าลงดิน ควรใส่ปุ๋ยบำรุงต้นและใบ โดยใช้สูตร 20-0-0 ในช่วงที่ต้นกาแฟมีอายุ 1-2 ปี หลังจากต้นกาแฟอายุได้ 3 ปี จึงเปลี่ยนสูตรปุ๋ย เป็นสูตรบำรุงดอกและผล ซึ่งแล้วแต่จะพิจารณาว่าสูตรใดเหมาะสม ซึ่งต้นกาแฟจะให้ผลิตราวปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมกราคม
ผลผลิตกาแฟต่อต้น ในต้นที่อายุ 8-10 ปี สามารถเก็บผลผลิตเป็นเมล็ดกาแฟสดได้มากถึง 45 กิโลกรัม ต่อต้น ซึ่งต้นกาแฟมีอายุยาว ประมาณ 16-17 ปี แต่เมื่อสังเกตเห็นว่า ต้นกาแฟเริ่มสูงเกินกว่าบันไดปีนจะเก็บผลผลิตได้ ให้แต่งกิ่งทำสาวใหม่ ก็จะได้ต้นกาแฟสาวที่ให้ผลผลิตมากตามเดิม
สำหรับโรคและแมลงของต้นกาแฟพบบ้างแต่น้อย เนื่องจากการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดโรคในแปลง คือ การกำจัดวัชพืชในแปลงให้โล่งเตียน แต่หากพบโรค เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจะขุดต้นกาแฟต้นนั้นทิ้ง แล้วปลูกใหม่แทน
หลังจากเก็บเมล็ดกาแฟสดจากต้นแล้ว ควรนำไปตากโดยกางซาแรนแล้วเทเมล็ดกาแฟให้กระจายทั่ว ตากทิ้งไว้ 12-13 วัน โดยไม่ต้องเก็บ เมื่อผลสดแห้ง สังเกตโดยการเขย่า หากมีเสียง “แกร๊ก แกร๊ก” แสดงว่าเมล็ดกาแฟแห้งดีแล้ว จากนั้นนำไปตากแดดอีกครั้ง โดยเปลี่ยนวัสดุรองตากเป็นผ้า และควรนำออกตากในตอนเช้า เก็บในตอนเย็น ห้ามไม่ให้ถูกฝน เพราะเมล็ดกาแฟจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ในรอบนี้ควรตากแดด 5-6 วัน
เมล็ดกาแฟสด เมื่อตากแดดแห้งแล้ว น้ำหนักเมล็ดกาแฟจะลดลงจากเดิมอีก 20 เปอร์เซ็นต์
สำหรับการเก็บเมล็ดกาแฟสด จำเป็นต้องจ้างแรงงาน โดยเสียค่าแรงงานกิโลกรัมละ 1.25-2 บาท
กาแฟที่ปลูกแบบผสมผสานกับสวนยางพาราหรือสวนปาล์มน้ำมัน จะให้ผลผลิตน้อยกว่าการปลูกกาแฟอย่างเดียวในแปลง แต่ผลผลิตที่ได้จากกาแฟในสวนผสมผสานจะมีคุณภาพดีกว่า
ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของการปลูกกาแฟ และการแปรรูปเมล็ดกาแฟสด โดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟสดสตรีคลองท่อมเหนือ ที่เริ่มต้นจากการคั่วเมล็ดกาแฟด้วยมือผ่านอุปกรณ์ในครัวเรือน กระทั่งปัจจุบัน เติบโตและมั่นคงมากเพียงพอสำหรับการดูแลสมาชิกในกลุ่มอย่างยั่งยืนได้
สนใจผลิตภัณฑ์กาแฟจากอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ติดต่อได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟสดสตรีคลองท่อมเหนือ เลขที่ 99/4 หมู่ที่ 2 ตำบลคลองท่อมเหนือ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟสดสตรีคลองท่อมเหนือ โทร. (086) 949-9160 และ (081) 606-2021