ที่มา | เทคโนโลยีการเกษตร |
---|---|
ผู้เขียน | ธาวิดา ศิริสัมพันธ์ |
เผยแพร่ |
ตามสำนวนสุภาษิต จับปลาสองมือ ที่มีความหมายเปรียบเทียบคนที่อยากจะได้สองอย่างทีเดียวพร้อมๆ กัน เสมือนการใช้มือจับปลาตัวเดียวให้มั่นดีกว่าจับด้วยมือเดียวหรือข้างละตัว ซึ่งอาจจะไม่มั่นคงพอ ทำให้ปลาทั้งสองตัวหลุดตกน้ำไปหมด ไม่ได้อะไรเลย เห็นทีจะไม่จริงเสมอไป ถ้าบุคคลนั้นมีกระบวนการคิดวางแผนในสิ่งที่กำลังทำดี บางทีการจับปลาสองมือก็อาจจะสร้างประโยชน์ได้อย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้
คุณอำไพ พิกุลหอม หรือ ครูไต่ อยู่ที่ 327/1 ซอย 14 ถนนสุขสวัสดิ์ 1 ตำบลพระบาท อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ประกอบอาชีพรับราชการครูเป็นหลัก เลี้ยงไส้เดือนขายฉี่และมูลไส้เดือน เป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ดีมาก โดยที่ไม่ต้องเบียดเบียนกับงานประจำ ทำได้อย่างไร

งานเกษตรวันว่างของครูไต่
เริ่มต้นจากความบังเอิญ
ครูไต่ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงไส้เดือนว่า ตนเรียนจบคณะศึกษาศาสตร์ เอกคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบูรพา ปัจจุบัน เป็นคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่จังหวัดลำปาง แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบปลูกต้นไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงใช้วันว่างเสาร์-อาทิตย์ ปลูกต้นไม้ไปเรื่อย แต่ยังไม่จริงจังเท่าไรนัก เพราะอยู่บ้านพักหลวง จนกระทั่งเมื่อปี ’53 ได้มีบ้านเป็นของตัวเอง จึงได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก คือการปลูกต้นไม้ เริ่มต้นด้วยการปลูกต้นโมกไว้บริเวณกำแพงบ้าน เพราะชอบกลิ่นหอมของต้นโมก แต่เมื่อปลูกได้เป็นเวลาปีกว่าต้นโมกก็ยังไม่ออกดอกส่งกลิ่นตามที่คาดหวังไว้ จึงลองคิดหาวิธีแก้ไข แต่ด้วยความที่ไม่มีความรู้ด้านการเกษตร ไม่มีความรู้เรื่องปุ๋ย จึงใช้วิธีไปถามเคล็ดลับที่ร้านขายต้นไม้ของเพื่อน และก็บังเอิญมากๆ ที่ลูกสาวเขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เขาก็แนะนำฉี่ไส้เดือนแม่โจ้มาให้ทดลองใส่ดู ใช้ไป 1 ลิตร จากที่ต้นโมกไม่มีดอก กลายเป็นว่าออกดอกจนกิ่งรับน้ำหนักไม่ไหว จึงเกิดความประทับใจขึ้น ทำให้เริ่มสนใจศึกษาเรื่องไส้เดือนมาตั้งแต่ตอนนั้น โดยหาความรู้จากอินเตอร์เน็ต ใช้เวลาร่วมปีในการศึกษา จนคิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว จึงเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินหลักพันบาท ไปซื้อไส้เดือนพันธุ์ขี้ตาแร่ จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้มาเลี้ยง

เริ่มต้นด้วยความล้มเหลว สู้จนสำเร็จ
กลายเป็นอาชีพเสริมที่ดีมาก
หลังจากเริ่มต้นเลี้ยงไส้เดือน และคิดว่าตนเองมีประสบการณ์มากพอแล้ว ครูไต่ บอกว่า ก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จตามที่หวังไว้ในตอนแรก เพราะเริ่มเลี้ยงไส้เดือนได้เพียง 6 เดือน ไส้เดือนก็ตาย ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้สาเหตุว่าตายเพราะอะไร แต่ก็ยังไม่ย่อท้อ พยายามหาวิธีแก้ปัญหา ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนั้นเป็นเดือนเมษายน โรงเรียนปิดเทอมและก็เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้เปิดอบรมการเลี้ยงไส้เดือนพอดี จึงตัดสินใจเข้าร่วมอบรมเพื่อหาความรู้เสริมในครั้งนั้น
หลังจากนั้น ใช้เวลาอีกเกือบ 1 ปี ทุกอย่างถึงจะเริ่มลงตัว โดย 4 ปีแรก จะเลี้ยงแค่ไส้เดือนพันธุ์ขี้ตาแร่เพื่อให้ได้ปุ๋ยน้ำหมักมูลไส้เดือนขายเพียงเท่านั้น เพิ่งจะมีการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อขายมูลในช่วง 6 ปีหลังมานี้ โดยไส้เดือนที่เลี้ยงเพื่อขายมูลมีอยู่ 2 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ พันธุ์ AF และพันธุ์ไทเกอร์ เนื่องจากกระแสความนิยมจะนิยมและรู้จักมูลไส้เดือนมากกว่า
ส่วนเทคนิคและขั้นตอนวิธีการเลี้ยงไส้เดือนทั้งสายพันธุ์ที่เลี้ยงเพื่อทำน้ำหมักมูลไส้เดือน หรือที่เรียกว่าฉี่ไส้เดือนและสายพันธุ์ที่เลี้ยงเพื่อขายมูลจะคล้ายกัน มีเพียงบางขั้นตอนเท่านั้นที่แตกต่างกัน ดังนี้

วิธีการเลี้ยงไส้เดือนขี้ตาแร่
พันธุ์ขี้ตาแร่ ลักษณะโรงเรือน… เลี้ยงในบ่อปูนสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำบ่อต่อๆ กัน ความกว้างของบ่อ กว้าง 1 เมตร ยาว 4 เมตร ต้องทำหลังคากันแดดกันฝน และทำมุ้งลวดเพื่อกันมด แมลง นก จิ้งจก ตะขาบ ที่จะมากินไส้เดือน

อัตราการเลี้ยงที่เหมาะสม… ไส้เดือน 1 กิโลกรัม ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
ขั้นตอนการเลี้ยง
- ถ้าเป็นบ่อเลี้ยงใหม่ต้องล้างทำความสะอาดสิ่งสกปรกและคราบปูนออกให้หมด ไม่งั้นไส้เดือนจะไม่สามารถอยู่ได้
- เตรียมเบดดิ้ง คือที่อยู่และที่กินของไส้เดือน
- วิธีการทำเบดดิ้ง ใช้ดินร่วนกับขี้วัวแห้งผสมกัน ในอัตราส่วน 3:1 หรืออาจจะใช้อัตราดินร่วน 2 ส่วน ขี้วัวแห้ง 2 ส่วน ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพดินที่นำมาผสม
- นำดินร่วนและขี้วัวแห้งที่คลุกเคล้าผสมกันแล้วไปแช่น้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้ขี้วัวเย็นพอที่จะให้ไส้เดือนอยู่ได้
- จากนั้นทำดินให้ร่วนแล้วปล่อยไส้เดือนลงบ่อเลี้ยง
4 ลักษณะบ่อที่ใช้เลี้ยงไส้เดือน ได้ทั้งแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าและทรงกลม
อาหาร… คือ เศษผักผลไม้ ให้อาหารแค่สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
การดูแลส่วนอื่นๆ… หมั่นสังเกตดูความชื้นของดิน แต่ไส้เดือนขี้ตาแร่จะไม่ต้องกังวลเรื่องความชื้นมากนัก เพราะจะได้น้ำจากเศษผักผลไม้ให้ความชุ่มชื้นอยู่แล้ว
เลี้ยงนานเท่าไร… สำหรับพันธุ์ขี้ตาแร่เลี้ยงเพื่อให้ได้น้ำหมักมูลไส้เดือน ใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือน ก็จะได้ฉี่ไส้เดือนออกมาแล้ว แต่จะออกมาเป็นสีน้ำตาลใสๆ ยังไม่ออกดำ ต้องใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 1 ปีขึ้นไป จะได้สีที่เข้มขึ้น แต่ยังไม่มาก เพราะครั้งที่ทำแรกๆ ทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้บอกว่า ถ้าผลิตได้ สามารถนำมาขายให้กับทางมหาวิทยาลัยได้ แต่จะรับผลผลิตก็ต่อเมื่อน้ำเป็นสีน้ำตาลออกดำแล้วเท่านั้น ซึ่งของที่ฟาร์มใช้เวลาเลี้ยง 1 ปี ก็ยังไม่เข้มข้นพอ สรุปแล้วต้องใช้เวลาเลี้ยงถึง 3 ปี กว่าจะได้สีน้ำตาลออกดำ และหลังจากนั้นมีการนำออกจำหน่ายในราคาที่ถูกมาก 500 ซีซี ราคา 35 บาท ยังถือว่าไม่คุ้มทุน แต่ในตอนนั้นคิดแค่เพียงต้องการแบ่งปันให้คนทั่วไปได้รู้จัก เพราะฉี่ไส้เดือนมีประโยนช์เยอะมาก ทั้งในเรื่องของการกำจัดเชื้อราในดอกกุหลาบ การช่วยเร่งไม้ดอก ไม้ผล รวมถึงยังช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วยจุลินทรีย์หลากหลายชนิด กำจัดเพลี้ย แมลง ด้วยเอนไซม์ไคติเนส
วิธีการเลี้ยงพันธุ์ AF และไทเกอร์
ลักษณะโรงเรือน… ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 12 เมตร เป็นบ่อยาว และมีบ่อขนาดความกว้าง 1×2 เมตร อีก 8 บ่อ ทำหลังคากันแดดกันฝน และทำมุ้งลวดกันแมลง เหมือนพันธุ์ขี้ตาแร่
- ขั้นตอนการเลี้ยงของไส้เดือนพันธุ์ AF และไทเกอร์ จะแตกต่างจากขี้ตาแร่ คือจะใช้ขี้วัวเลี้ยงเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องผสมดินร่วน นำขี้วัวแห้งมาแช่น้ำไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ในปัจจุบันการแช่น้ำจะลำบากสำหรับคนที่ยกของหนักไม่ได้ ก็สามารถใช้วิธีกองขี้วัวไว้กับพื้นแล้วใช้น้ำฉีดทุกวันเช้า-เย็น
- หลังจากนั้นนำมาใส่ในบ่อเลี้ยง อัตราการเลี้ยงเท่ากัน ไส้เดือน 1 กิโลกรัม ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร การเลี้ยงดูคล้ายกับขี้ตาแร่ แตกต่างกันที่อาหาร
อาหาร… พันธุ์ AF และไทเกอร์ จะให้แค่ขี้วัวแห้งสัปดาห์ละ 1 ครั้ง มีให้อาหารเสริมเป็นกากถั่วเหลืองบ้าง เพราะไส้เดือนพันธุ์ที่เลี้ยงเอามูลต้องการโปรตีนเยอะ
การเก็บมูลไส้เดือน… ปกติจะเก็บได้เดือนละครั้ง ของที่ฟาร์ม 3 เดือน จะเก็บครั้งหนึ่ง รอให้ย่อยเสร็จ เพราะว่าถ้าย่อยไม่เสร็จสมบูรณ์เวลานำไปบรรจุถุงขายจะทำให้เกิดเชื้อราขาวๆ แต่ถ้ารอให้ย่อยเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะเก็บไว้นานแค่ไหนก็ไม่เกิดเชื้อรา
ปริมาณมูลไส้เดือน… คำนวณได้จากขนาดของบ่อ หากขนาดของบ่อ กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร จะได้มูลไส้เดือนประมาณ 50 กิโลกรัม ราคาขาย ถุงละ 35 บาท บรรจุถุงละ 1 กิโลกรัม
ต้นทุนสำหรับมือใหม่… ลงทุนแค่หลักพัน มีต้นทุนค่าบ่อ ประมาณ 1,300 บาท ไส้เดือนที่นำมาเลี้ยง ราคากิโลกรัมละ 800 บาท ขี้วัว 1 กระสอบ ต้นทุนจะอยู่ประมาณ 2,200-2,500 บาท ไม่เกินนี้ หรือหากอยากปรึกษาหรือไม่ทราบว่าจะหาซื้อพันธุ์ไส้เดือนได้จากที่ไหน สามารถสั่งซื้อจากที่ฟาร์มไส้เดือนครูไต่ได้ หรือติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ก็ได้เช่นกัน
รายได้… 20,000-30,000 บาท ต่อเดือน นับว่าเกินความคาดหมาย เพราะตอนที่เริ่มทำไม่ได้หวังเป็นเงินตรา แต่หวังเพียงอยากกระจายความรู้ให้คนทั่วไปได้รู้ว่ามูลและฉี่ไส้เดือนมีประโยชน์อย่างไร สามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง และการเลี้ยงไส้เดือนถือเป็นอาชีพเสริมที่รายได้ดีมากๆ เมื่อเทียบกับการดูแลจัดการที่ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องเบียดเบียนเวลาทำงานหลัก มีเวลาเพียงเสาร์-อาทิตย์ เข้าไปให้อาหารไส้เดือนสักสัปดาห์ละครั้ง และจะยิ่งเลี้ยงง่ายมากถ้ารู้นิสัยของไส้เดือนแล้วว่าชอบอยู่อย่างไร กินแบบไหน ก็จัดสภาพแวดล้อมให้แบบนั้น เมื่อไส้เดือนได้อยู่อย่างเหมาะสม กินดี อยู่ดี ผลผลิตที่ออกมาก็มีคุณภาพ

ฝากถึงเกษตรกร
“เราเป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นในความสำคัญกับการทำเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างมาก และประกอบกับโรงเรียนที่สอนอยู่ในตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชาวเขา ครอบครัวของนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรและปลูกด้วยสารเคมีเป็นส่วนใหญ่ จึงอยากปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ให้หันมาใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองมากขึ้นด้วย การสอนให้เขาปลูกผักอินทรีย์กินเอง ปลูกฝังให้เขารักสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นจากตัวเองเป็นแบบอย่างจุดเล็กๆ เปิดชุมนุมสอนเลี้ยงไส้เดือนที่โรงเรียน ซึ่งปกติทั่วไปเราเป็นครูสอนคณิต ต้องเปิดชุมนุมสอนคณิต แต่เรามาเปิดชุมนุมเลี้ยงไส้เดือน เพราะอยากปลูกฝังเด็กๆ ในอนาคต และให้นำมูลไส้เดือนที่เขาเลี้ยงมาปลูกผักกินเอง และยังมีการรับซื้อมูลไส้เดือนจากนักเรียนด้วย เพื่อสร้างกำลังใจให้เขา ซึ่งเราก็มีความหวังในใจว่า เด็กๆ เหล่านี้ในอนาคตเขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาภาคการเกษตรไทยให้พัฒนาอย่างยั่งยืนก็ได้” ครูไต่ กล่าวทิ้งท้าย
สนใจพันธุ์ไส้เดือน หรือสอบถามเทคนิคการเลี้ยงไส้เดือน ติดต่อ คุณอำไพ พิกุลหอม หรือ ครูไต่ ได้ที่เบอร์โทร. 089-632-4613 หรือเพจ ฉี่ไส้เดือนบ้านครูไต่
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563