ที่มา | เทคโนโลยีเกษตร |
---|---|
ผู้เขียน | บุญฤทธิ์ เผือกวัฒนะ |
เผยแพร่ |
ฟักทอง เป็นชื่อเรียกที่รับรู้กันทั่วไป เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งมีอายุสั้น นิยมนำมาทำเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารคาวก็ได้ เป็นอาหารหวานก็อร่อย หรือทำเป็นอาหารว่างได้อย่างดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ มีกากใยอาหาร แต่ให้พลังงานต่ำ เก็บผลไว้ได้นานวัน
ฟักทอง เป็นพืชที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ทั้งยอด ใบอ่อน ดอก ผล เมล็ด และราก ฟักทอง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ชอบสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิไม่สูงมากนัก คือไม่เกิน 27 องศาเซลเซียส แต่ก็ไม่ทนต่อความหนาวเย็นจัด การปลูกฟักทองในภาคเหนือตอนบนนิยมปลูกกันในฤดูฝน หรือระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน
ที่บ้านบ่อแก้ว มีให้พบเห็นเป็นตัวอย่าง การปลูกฟักทองในฤดูฝน และเป็นหมู่บ้านที่นิยมปลูกฟักทองกันมาก มีพื้นที่รวมๆ กันแล้ว มากที่สุดอยู่ในตำบลไทรย้อย มีเกษตรกรผู้รักการเกษตรจากมนุษย์เงินเดือนของบริษัทเอกชน เปลี่ยนชีวิตมาเดินบนเส้นทางเกษตรกรด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นที่จะปลูกฟักทอง จากคำแนะนำบอกเล่าของคนใกล้ชิด ลงทุนปลูกครั้งแรกใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อย แต่ขายได้กำไรงาม จึงขยายพื้นที่ปลูกมากขึ้น โดยไม่ย่อท้อกับราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ ตามภาวะราคาตลาด

คุณอินทร์สอง มะโนเกี๋ยง ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 77/11 หมู่ที่ 4 บ้านบ่อแก้ว ตำบลไทรย้อย อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ได้เปิดเผยถึงแนวคิดที่หันหลังให้กับงานประจำ
ก้าวชีวิตบนเส้นทางเกษตรกร
คุณอินทร์สอง เล่าว่า “จบการศึกษา วิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (ชื่อเดิม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ) ผ่านการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ เปลี่ยนแนวทางมาทำการเกษตร เพราะต้องการใช้ชีวิตแบบพื้นบ้านเมืองเหนือ ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องเวลา ได้กินอาหารพื้นเมืองที่ชื่นชอบ ได้ช่วยเหลือชาวบ้านบ้างในบางครั้งที่มีโอกาส และมีอิสระในการใช้ชีวิต”
ปลูกฟักทอง สร้างรายได้ทดแทนงานประจำ
แรกเริ่มเดิมทีนั้น คุณอินทร์สอง เผยว่า ได้รับคำแนะนำให้ปลูกฟักทอง รายได้ดี เป็นพืชอายุสั้น จึงทดลองปลูก เมื่อปี พ.ศ. 2559 ในพื้นที่ 2 งาน ได้ผลผลิตถึง 2 ตันเศษ ขายได้กิโลกรัมละ 13 บาท ได้กำไรถึง 12,000 บาท ซึ่งมีกำไรงาม ปีที่ 2 ทุ่มทุนขยายพื้นที่ปลูกเป็น 15 ไร่ ได้ผลผลิต ราวๆ 10 ตัน ขายราคากิโลกรัมละ 6 บาท ได้เงินมา 60,000 บาท
แต่อย่างไรก็ยังมีกำไรอยู่ ปีที่ 3 คือ ปี พ.ศ. 2563 ขยายพื้นที่เพิ่มจาก 15 ไร่ มาขอเช่าพื้นที่อีก 12 ไร่ รวมเป็น 27 ไร่ ปลูกฟักทอง 2 สายพันธุ์ ลงปลูกรุ่นละ 1 สายพันธุ์ โดยรุ่นแรกเก็บขายไปหมดแล้ว ได้ผลผลิตเกือบ 30 ตัน แต่ขายได้ราคาที่ต่ำไม่ถึง 5 บาท แต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ ยังมีความหวังจากฟักทองอีกสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งปลูกเหลื่อมเวลากันประมาณ 1 เดือน คาดว่าจะได้ผลผลิตประมาณ 18 ตัน

ลักษณะแปลงปลูกฟักทอง
ลักษณะพื้นที่ปลูกฟักทองที่ไร่ของคุณอินทร์สอง เป็นพื้นที่ราบ และพื้นที่ลาดเนินเขา ระบายน้ำได้ดี ปลูกฟักทองได้ดีในฤดูฝน ช่วงเดือนมิถุนายน ปลูกและเก็บผลผลิตเพียงปีละครั้ง
ก่อนลงมือปลูก คุณอินทร์สอง บอกว่าเริ่มจากการนำดินไปตรวจวิเคราะห์หาค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือค่า pH ได้ค่าที่ 6.1 เป็นกรดเล็กน้อย ซึ่งฟักทองสามารถเจริญงอกงามได้ดี ที่ค่า pH 5.5-7.5 สรุปได้ว่า ค่า pH บริเวณพื้นที่ตรงนั้นเหมาะสม ผลการวิเคราะห์ธาตุอาหาร ปรากฏว่าพื้นที่ดังกล่าวขาดธาตุไนโตรเจน แต่มีธาตุฟอสฟอรัสสูง และธาตุโพแทสเซียมในระดับสูงมาก
จึงดำเนินการปรับปรุงดิน ด้วยการใส่ปุ๋ยคอกจากขี้หมู แล้วไถกลบ 1 ครั้ง จากนั้นตากดินไว้ 3 สัปดาห์ รอฤดูฝนมาในเดือนมิถุนายน
ปลูกฟักทองแบบหยอดเมล็ดตามลักษณะพื้นที่
คุณอินทร์สอง บอกว่า จากลักษณะพื้นที่ไม่สามารถจะยกแปลงปลูกได้ จึงใช้วิธีหยอดเมล็ดฟักทองลงหลุมปลูก โดยดูสภาพอากาศว่าฝนจะตกในช่วงใด ก็จะเตรียมเมล็ดฟักทอง นำมาแช่ในน้ำอุ่น 3 ชั่วโมง จากนั้นกรองน้ำออก เอาเมล็ดฟักทองห่อหุ้มในผ้าที่ชุ่มน้ำ ห่อไว้เพียง 1 คืน จะเห็นรากงอกออกมาเล็กน้อย ก็นำไปหยอดลงหลุมปลูก
หยอดเมล็ด หลุมละ 1 เมล็ด ระยะห่างระหว่างต้น 1.5 เมตร ระหว่างแถว 4.5 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ลงปลูกได้ 240 ต้น
เมล็ดพันธุ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ฟักทอง ที่เราพบเจอตามแผงขาย หรือร้านค้าพืชผักผลไม้ทั่วไป เห็นแล้วมีลักษณะคล้ายๆ กัน มองก็รู้ว่าเป็นฟักทอง แต่ไม่รู้ชัดเจนว่าเป็นฟักทองสายพันธุ์อะไร ที่ไร่ฟักทองของคุณอินทร์สอง มีปลูกอยู่ 2 สายพันธุ์ ที่ปลูกรุ่นแรกคือ สายพันธุ์ ทองอำไพ 425 เป็นเมล็ดพันธุ์ของบริษัทเอกชนแบบผสมเปิด สามารถเก็บเมล็ดทำพันธุ์ได้ในฤดูกาลต่อไป สายพันธุ์นี้มีลักษณะผลทรงแป้นใหญ่ น้ำหนัก 6-8 กิโลกรัม ต่อผล ผิวคางคก เนื้อในสีเหลือง เนื้อหนา รสชาติหวานมัน อายุ 90 วัน นับจากวันปลูก ซึ่งได้นำมาลงปลูกเมื่อกลางเดือนมิถุนายน และเก็บผลผลิตกลางเดือนกันยายนปีนี้
การดูแล
น้ำ คุณอินทร์สอง บอกว่า ต้นฟักทองที่ตนนำมาลงปลูกเป็นช่วงฤดูฝนพอดี จึงไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ หลังจากปลูกแล้ว แทบจะไม่ค่อยได้ให้น้ำเลย

ปุ๋ย เมื่อนำเมล็ดลงปลูกได้ 20 วัน จะให้ปุ๋ยเคมีทางดิน สูตร 15-15-15 เพียงครั้งเดียว และฉีดพ่นธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม คือ แคลเซียม-โบรอน และสาหร่ายสกัด ช่วงก่อนออกดอก 1 ครั้ง
โรคและแมลง คุณอินทร์สอง ย้ำว่ายังไม่พบโรคทำลายต้น ใบ ดอก ฟักทอง ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงฤดูฝน แต่พบแมลงตัวร้าย ด้วงเต่าทอง หลังปลูกเพียง 15 วัน ขณะมีใบ 4-5 ใบ เมื่อพบต้องกำจัดให้หมด และดูแลวัชพืชไม่ให้เป็นที่หลบอาศัยของแมลง
การตัดแต่งต้นให้แตกแขนง เมื่อเถาหรือต้นฟักทองมีใบ 6 ใบ หรือ 6 ข้อปล้อง จะเด็ดยอด เพื่อให้เกิดแขนงใหม่มากขึ้น ควบคุมไม่ให้เถาหรือต้นทอดยาวไปเรื่อยๆ และเร่งให้เกิดดอกเร็ว มีจำนวนมาก

คุณอินทร์สอง บอกว่า เท่าที่สังเกตวิธีการนี้จะเกิดแขนงออกมา 3-4 แขนง ทอดยาวเท่าๆ กัน และเกิดดอกเพศเมียออกมาก่อนดอกเพศผู้ซึ่งมีจำนวนน้อย การผสมเกสรต้องอาศัยผึ้งป่าเป็นตัวช่วย จากการดูแลอย่างดี ฟักทองจะติดผลแขนงละ 4 ผล แต่จะเก็บไว้เพียง 2 ผล ซึ่งแต่ละผลมีน้ำหนักมาก

การเก็บผลผลิต
คุณอินทร์สอง กล่าวว่า ฟักทองสายพันธุ์ทองอำไพ 425 มีอายุ 90 วัน นับจากวันปลูก ก็จะเก็บผลได้แต่ก็ยังพิจารณาจากสีผิวด้วยว่าหากผิวผลเปลี่ยนจากสีเขียวหัวเป็ดมาเป็นสีนวลก็เก็บผลได้
รุ่นที่ 2 เป็นสายพันธุ์ลายข้าวตอก เป็นพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม แต่มีบริษัทเอกชนนำไปพัฒนาเป็นสายพันธุ์ใหม่ ที่มีความแข็งแรงมากขึ้น ทนโรค ทนต่อสภาวะอากาศ ให้ผลผลิตสูง แต่เก็บเมล็ดไว้ขยายพันธุ์ต่อไปไม่ได้ ลักษณะผล เห็นลายชัดเจนว่าเป็นลายข้าวตอก ผิวคางคก เนื้อในสีเหลืองส้มสดใส รสชาติอร่อย มัน เนื้อแน่น เหนียว น้ำหนัก 2-3 กิโลกรัม ต่อผล ซึ่งเป็นขนาดที่ตลาดต้องการ อายุการเก็บผล 75 วัน นับจากวันปลูก

สายพันธุ์ลายข้าวตอกนี้คาดว่าจะเก็บผลได้ในอีกหนึ่งเดือน คือกลางเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ทั้ง 2 สายพันธุ์ จะมีสีผิวที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
หลังเก็บผลผลิต ปลูกพืชตระกูลถั่วช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน
หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตฟักทองหมดแล้ว คุณอินทร์สอง บอกว่าจะใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์โดยปลูกถั่วเขียว หรือถั่วเหลืองสลับกันไปในแปลงปลูกฟักทอง นอกจากจะขายเมล็ดถั่วแล้ว ได้ปรับสภาพดินเพิ่มธาตุอาหารและจุลินทรีย์ให้แก่ดินรอการปลูกฟักทองในรอบการผลิตต่อไป
คุณภาพของฟักทองที่ตลาดต้องการ
คุณอินทร์สอง สาธยายให้ฟังว่า จากการพูดคุยกับผู้ซื้อฟักทอง ก็พอจะรู้ว่าตลาดรับซื้อต้องการฟักทองที่มีคุณภาพเช่นไร ที่สรุปได้ก็อย่างเช่น
– รูปร่างกลม ไม่เบี้ยว เป็นผลที่มีขั้วติดอยู่
– ผิวผลสะอาด ปราศจากสิ่งแปลกปลอมที่มองเห็นได้
– ไม่มีรอยช้ำ ไม่เสื่อมคุณภาพ ไม่เน่าเสีย
– ไม่มีรอยแตก หรือถูกทำลายโดยโรคแมลง
-ได้ขนาดที่ต้องการ คือ เบอร์หัว น้ำหนัก 5 กิโลกรัมขึ้นไป เบอร์หาง น้ำหนัก 2-5 กิโลกรัม
ปลูกพืชหลากหลายชนิดเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน
คุณอินทร์สอง เผยความคิดว่า แม้การปลูกฟักทองจะเป็นพืชที่มีอายุสั้นเพียง 90 วัน ปลูกได้ปีละ 1 ครั้ง ในพื้นที่นี้ โดยอาศัยน้ำฝน แต่ในรอบปีมีเวลาเหลือ จึงต้องมีการลงทุนปลูกพืชอื่นเพื่อให้มีรายได้พอในการดำรงชีวิต ไม่ให้ด้อยไปกว่ารายได้จากงานประจำ

พืชที่ลงมือปลูกอยู่แล้ว และมีรอบการเก็บผลผลิตที่แตกต่างกัน สร้างรายได้ต่อเนื่อง ก็มี มันสำปะหลัง มะละกอฮอลแลนด์ นอกจากนี้ ยังมีคลังอาหารที่สร้างไว้สำหรับครอบครัวทั้งกบ ปลา พืชผักสวนครัว อนุรักษ์พื้นที่บางส่วนเป็นป่าเบญจพรรณสำหรับเก็บอาหารจากป่า อย่าง เห็ดป่าตามฤดูกาล “ดำรงชีพอย่างนี้ก็มีกิน มีใช้ ไม่มีหนี้สิน ครอบครัวมีสุข” อดีตวิศวกร กล่าว
คุณอินทร์สอง ได้ระบายความในใจถึงผลผลิตฟักทองว่า ผลผลิตออกมาแล้วได้ราคาที่ขึ้นลงแต่ละปีไม่เสถียรหรือไม่มั่นคง ช่วงห่างระหว่างราคาที่ขายได้ต่ำสุด กับราคาสูงสุดที่เคยได้รับมันห่างกันมาก บางปีได้ราคา 13 บาท บางปีต่ำติดดินไม่ถึง 5 บาท ต่อกิโลกรัม แต่ตามกลไกตลาดที่มักจะอ้างอุปสงค์ อุปทาน เกษตรกรผู้ปลูกฟักทองจะไม่มีข้อมูลพื้นที่ปลูกฟักทองของแต่ละจังหวัดแต่ละภาค ในแต่ละปีก็จะมีเกษตรกรปรับเปลี่ยนพืช เช่น เลิกปลูกข้าวโพด มาปลูกฟักทอง จนบางปีผลผลิตฟักทองออกสู่ตลาดพร้อมๆ กัน ทั้งผู้ผลิตรายเก่าและรายใหม่ คุณอินทร์สองเองบอกว่าต้องอาศัยการวางแผนปลูกฟักทองให้เหลื่อมเวลากัน แต่บางปีก็จนด้วยความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศที่คาดคะเนได้ยาก

ต้องทำบัญชีต้นทุน เพื่อเป็นตัวตัดสินใจการลงทุน
คุณอินทร์สอง เปิดเผยว่า ตนเองบันทึกตัวเลข ลงบัญชีทุกครั้งที่มีรายได้และค่าใช้จ่ายจากการปลูกฟักทอง ในรูปแบบของบัญชีต้นทุน ทำมาตั้งแต่เริ่มต้นปลูกจนถึงปัจจุบัน พร้อมอธิบายให้ผู้เขียนดูตัวเลขต่างๆ ที่ลงบันทึกว่า การปลูกฟักทองแต่ละครั้งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เป็นเงินเท่าไร ขายได้กี่กิโลกรัม กิโลกรัมละเท่าไร มีกำไรหรือขาดทุน ซึ่งในปีการผลิต พ.ศ. 2563 มีผลประกอบการ ดังนี้
ต้นทุนผลิตฟักทอง สายพันธุ์ทองอำไพ 425 และลายข้าวตอก พื้นที่ 27 ไร่ ช่วงการผลิตเดือนมิถุนายน-กันยายน 2563
รายได้ | ปริมาณ (กิโลกรัม) | จำนวนเงิน (บาท) |
– ขายฟักทอง | 25,404 | 126,815 |
– บริโภคในครัวเรือน/แบ่งปัน | 100 | 500 |
รวมรายได้ | 25,504 | 127,315 |
หัก ต้นทุน/ค่าใช้จ่าย
จำนวนเงิน (บาท) | ร้อยละ | |
ขั้นตอนการเตรียมการผลิต | ||
– ค่าเมล็ดพันธุ์ฟักทอง | 11,200 | 19 |
– ค่าเตรียมดิน/ค่าไถดิน | 3,500 | 6 |
– ค่าจ้างแรงงาน (ถางหญ้า, ตัดกิ่งไม้) | 5,300 | 9 |
ขั้นตอนระหว่างการผลิต | ||
– ค่าจ้างแรงงาน (จ้างปลูก) | 3,305 | 5 |
– ค่าจ้างแรงงาน (พ่นยา) | 700 | 1 |
– ค่าจ้างแรงงาน (ใส่ปุ๋ย) | 6,200 | 10 |
– ค่าปุ๋ย, ฮอร์โมน | 7,200 | 12 |
– ค่ายากำจัดเมลง | 700 | 1 |
ขั้นตอนการเก็บผลผลิต | ||
– ค่าแรงงานตนเอง | 3,000 | 5 |
– ค่าเช่าที่ดิน | 19,500 | 32 |
รวมต้นทุน/ค่าใช้จ่าย | 60,605 | 100 |
กำไร | 66,710 |
ต้นทุน/กิโลกรัม 2.38 บาท
ต้นทุน/ไร่ 2,244.63 บาท |
กำไร/กิโลกรัม 2.61 บาท
ผลตอบแทน/ไร่ 4,715.37 บาท |
จากข้อมูลทางบัญชี คุณอินทร์สอง อธิบายว่าต้นทุนส่วนใหญ่จะเป็นค่าเช่าที่ดิน ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย แต่ถ้ารวมค่าจ้างแรงงานตั้งแต่เริ่มเตรียมพื้นที่จนถึงระหว่างการผลิตก็สูงอยู่ คือ ร้อยละ 25 เหตุผลก็เพราะว่าพื้นที่ปลูกมีจำนวนถึง 27 ไร่ ระหว่างทิ้งช่วงการผลิตก็จะเกิดวัชพืช ต้นไม้เล็กๆ มีอยู่มาก เกินกำลังที่ตนเองจะกำจัดได้ และที่สำคัญต้องมีการจ่ายค่าแรงงานให้แก่ตนเอง ที่ใช้เวลาและแรงกายไปดูแลแปลงปลูก แทนที่จะจ้างแรงงานภายนอกเสียทั้งหมด
ส่วนต้นทุน กำไร ผลตอบแทนการลงทุนนั้น ปลูกฟักทองมีต้นทุน 2.38 บาท/กิโลกรัม ขายได้กำไร กิโลกรัมละ 2.61 บาท ถือว่ามีกำไรดี ขณะที่ต้นทุนที่ลงไป จำนวน 2,244.63 บาท ต่อไร่ ได้ผลตอบแทนถึง 4,715.33 บาท เป็นผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นที่มีอายุการเก็บเกี่ยวเท่ากัน
ข้อมูลดังกล่าว มีประโยชน์ต่อการลงทุน และนำไปใช้ประกอบการวางแผนปีหน้าได้ว่า อะไรควรลดหรือเพิ่ม เช่น ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต
ท่านใดสนใจสามารถที่จะติดต่อสอบถาม คุณอินทร์สอน มะโนเกี๋ยง ได้ที่เบอร์โทร. 089-213-0126

