| ผู้เขียน | สุรเดช สดคมขำ |
|---|---|
| เผยแพร่ |
กระแสรักษ์สุขภาพในปัจจุบันไม่เพียงทำให้ผู้บริโภคไปถึงในเรื่องของพืชผักเพียงอย่างเดียว แม้แต่ในเรื่องของการเลี้ยงสัตว์เองมีการนำมาเลี้ยงในระบบอินทรีย์มากขึ้น ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดก็จะเป็นในเรื่องของการเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี โดยเน้นในเรื่องของการเลี้ยงที่ให้ไก่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี พร้อมทั้งให้กินอาหารที่เป็นพืชผลที่ผลิตในระบบอินทรีย์เข้ามาเสริมจึงทำให้ไข่ที่ได้มีคุณภาพ พร้อมกับสามารถจำหน่ายได้ราคาที่สูงกว่าไข่ไก่ที่เลี้ยงในระบบทั่วไป จึงทำให้เกษตรกรที่สนใจในเรื่องของการทำเกษตรอินทรีย์อยู่เดิมมาเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมเข้ามาช่วยสร้างรายได้อีกด้วย
คุณเสาวนีย์ เมฆนุพักต์ เจ้าของ “Get Farmily เกษตรกรในสวนเพื่อน” ตั้งอยู่เลขที่ 51/1 หมู่ที่ 4 ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) บนพื้นที่จำนวน 19 ไร่ โดยมีการแบ่งพื้นที่ปลูกพืชต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น การปลูกข้าวอินทรีย์ กล้วยน้ำว้า และพืชผักสวนครัวต่างๆ แต่ที่เป็นสินค้าหลักและสามารถสร้างรายได้ให้กับเธอได้เป็นอย่างดีนั้น คือ การเลี้ยงไก่อารมณ์ดี จำนวน 700 ตัว ที่สามารถเก็บไข่จำหน่ายได้เป็นรายได้หลักมาหมุนเวียนให้กับสวนของเธอ
คุณเสาวนีย์ เล่าให้ฟังว่า เดิมนั้นมีอาชีพค้าขายทั่วไป ประมาณปี 2557 ต้องการที่จะหารายได้เสริมจึงได้ตัดสินใจที่จะมาทำการเกษตรแบบปลอดภัย ด้วยความที่มีใจมุ่งมั่นอยากทำเกษตรแบบอินทรีย์ จึงได้ทำการศึกษาหาองค์ความรู้ต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเข้าฝึกอบรมการปรับปรุงฟื้นฟูดินในด้านต่างๆ จากกรมพัฒนาที่ดินอยู่เสมอ จึงทำให้พื้นที่ของเธอกลายเป็นพื้นที่ที่สามารถทำการเกษตรแบบอินทรีย์ได้อย่างเต็มตัว ในเวลาต่อมาเกิดความสนใจที่อยากจะเลี้ยงไก่ไข่ จึงได้เริ่มเลี้ยงและสร้างเป็นไข่ไก่อารมณ์ดีสร้างเป็นรายได้ให้กับเธอได้ไม่น้อยทีเดียว
“เราอยากจะมีพื้นที่ทางการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี เราก็มองว่าเกษตรอินทรีย์น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องนี้ และที่สำคัญสินค้าที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ยังมีปริมาณที่น้อย และยังเป็นที่ต้องการของตลาด เราก็ได้มาทำเกษตรอินทรีย์บนพื้นที่นี้ พร้อมทั้งมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่เคยใช้สารเคมีมาก่อน มาสร้างเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช้สารเคมี พอพื้นที่เราพร้อม เราก็มาพัฒนาในเรื่องของการเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี เลี้ยงเป็นเชิงอินทรีย์ทั้งระบบ โดยอาหารที่ให้ไก่กินก็เป็นอาหารที่ได้จากการปลูกพืชในระบบอินทรีย์ด้วยเช่นกัน” คุณเสาวนีย์ เล่าถึงที่มาของการทำเกษตรอินทรีย์
พื้นที่สำหรับเลี้ยงไก่ไข่นั้น คุณเสาวนีย์ บอกว่า มีการแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน ไม่ให้มาปะปนกับการปลูกพืชอื่นๆ โดยในบริเวณเลี้ยงมีการแบ่งโรงเรือนนอนและพื้นที่เดินเล่นให้กับไก่ไข่อย่างลงตัว ในช่วงแรกจะนำไก่ไข่ที่มีอายุ 16 สัปดาห์เข้ามาเลี้ยงภายในฟาร์ม จากนั้นช่วง 1 เดือนแรกที่ไก่ไข่เข้ามาอยู่ภายในฟาร์ม จะให้กินอาหารที่เป็นอาหารที่ทางสวนคิดส่วนผสมขึ้นมาเอง เช่น หยวกกล้วย รำข้าว กากน้ำตาล ดินร่วน เกลือ ฯลฯ ซึ่งเป็นอาหารที่ใช้เลี้ยงในแต่ละวัน เมื่อไก่ไข่ครบกำหนดอายุ 5 เดือน ก็จะเริ่มออกไข่ให้เก็บจำหน่ายได้
โดยต้นทุนอาหารที่ผสมให้ไก่ไข่กินตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 6-8 บาท ที่สามารถควบคุมในเรื่องของต้นทุนอาหารได้นั้น คุณเสาวนีย์ บอกว่า ส่วนใหญ่อาหารที่ทำการผสมนั้นมีทั้งใช้วัตถุดิบที่ได้จากสวนของเธอและบางส่วนซื้อเข้ามาบ้าง จึงทำให้อาหารที่ใช้ให้ไก่ไข่กินจึงไม่มีต้นทุนที่สูง
“ตอนนี้ไก่ไข่ที่เราเลี้ยงไว้ก็มีประมาณ 700 ตัว มีการแบ่งพื้นที่เลี้ยงอย่างชัดเจน จึงทำให้ง่ายต่อการจัดการ ส่วนในเรื่องของโรงเรือนเราก็มีการใช้จุลินทรีย์เข้ามาช่วยเสริม ทำให้ไม่ส่งกลิ่นเหม็น เฉลี่ยแล้วไก่ไข่ในฟาร์มจะให้ไข่เต็มที่อยู่ที่ 300 ฟอง ต่อวัน แต่สามารถให้ไข่นานถึง 3 ปี เพราะการเลี้ยงของเราไม่มีการกักไข่ เขาสามารถคุ้ยเขี่ยได้อิสระ เพราะฉะนั้น จึงทำให้ไก่ไข่ไม่เกิดความเครียดและมีความแข็งแรงโดยที่เราไม่ต้องให้วัคซีน” คุณเสาวนีย์ บอก
สำหรับการทำตลาดเพื่อจำหน่ายไก่ไข่อารมณ์ดีนั้น คุณเสาวนีย์ บอกว่า ในทุกสัปดาห์จะมีลูกค้าเข้ามารับถึงหน้าฟาร์ม โดยลูกค้าส่วนหนึ่งเป็นลูกค้าที่ชอบบริโภคสินค้าจากเกษตรอินทรีย์ และลูกค้าที่รับไปจำหน่ายต่อจะเป็นลูกค้าที่มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ของตนเองในแหล่งต่างๆ
ซึ่งราคาจำหน่ายไข่ไก่ที่ออกจากฟาร์มของเธอนั้น จำหน่ายแบบคละไซซ์อยู่ที่ฟองละ 5 บาท ไม่ว่าลูกค้าจะมาซื้อจำนวนมากน้อยเพียงใดก็จำหน่ายอยู่ราคาเดียว โดยคุณภาพไข่ไก่ที่ได้จะมีรสชาติที่อร่อยสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย แต่ที่ได้รับความนิยมคือการบริโภคเป็นไข่ต้มและไข่ออนเซ็น กินในช่วงเช้าถือเป็นเมนูยอดฮิตของผู้รักสุขภาพ
“ตั้งแต่เราเริ่มทำฟาร์มไก่มาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พร้อมกับการทำเกษตรผสมผสานอื่นๆ ต้องบอกเลยว่า ตลาดผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีจำนวนมาก เพราะปัจจุบันเราเองก็ยังผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีการจัดการที่ดีและเรียนรู้การปรับปรุงดินจากกรมพัฒนาที่ดินอยู่เสมอ พื้นที่ของเราก็จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสารเคมี ดินจะเป็นดินที่ดีสามารถปลูกพืชในระบบอินทรีย์ได้อย่างลงตัว นอกจากสุขภาพเราเองแล้ว เรายังมีความสุขที่ได้ทำเกษตรปลอดภัยไปสู่ผู้บริโภคอีกด้วย” คุณเสาวนีย์ บอก
สำหรับท่านใดที่สนใจอยากจะเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี หรือการทำเกษตรอินทรีย์เพื่อผลิตสินค้าทางการเกษตรนั้น คุณเสาวนีย์ แนะว่า ในช่วงแรกให้ศึกษาองค์ความรู้ต่างๆ จากสำนักงานพัฒนาที่ดินในพื้นที่ใกล้บ้าน จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นระยะการทำเกษตรอินทรีย์และการเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี ก็จะเป็นทางเลือกการทำเกษตรที่ปลอดภัยได้ไม่อยาก หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณเสาวนีย์ เมฆนุพักต์ หมายเลขโทรศัพท์ (081) 847-5805
