“ทานตะวัน” พืชเศรษฐกิจ ที่มากกว่าความสวยงาม

จากสภาพความเสื่อมโทรมและการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ที่ได้สร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวโพด ทั้งด้านราคา ปริมาณ และคุณภาพที่ลดลงเกือบทุกๆ ปี ทำให้เกษตรกรในหลายพื้นที่หันมาปลูกพืชเสริมอย่างทานตะวันหลังเก็บเกี่ยวพืชหลัก จนทานตะวันกลายเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่สร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรในจังหวัดลพบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี

คุณดาหวัน ห้องกระจก

นอกจากทานตะวันจะสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรแล้ว ความสวยงามของทุ่งดอกทานตะวันที่ชูช่อบานสะพรั่งสู้กับพระอาทิตย์ในหลายๆ พื้นที่ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดลพบุรีจนทุกวันนี้

ทุ่งดอกทานตะวัน จังหวัดลพบุรี เป็นแห่งแรกที่ได้รับการโปรโมตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งมีแหล่งปลูกจะกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง อำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล ในทุกปีดอกทานตะวันจะบานสะพรั่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก

สีสดใส

ทานตะวันเป็นพืชทนแล้งที่เกษตรกรนิยมปลูกหลังจากข้าวโพด เมล็ดทานตะวันจะมีสารอาหารที่มีคุณค่า นิยมใช้สกัดทำน้ำมันปรุงอาหารหรืออบแห้ง เพื่อรับประทานหรือใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง และนอกจากนี้ ยังสามารถนำมาเลี้ยงผึ้งและเก็บเอาน้ำหวานจากรังผึ้งที่สร้างจากเกสรดอกทานตะวันเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง

หมดข้าวโพด ต่อทานตะวัน

ต้นทานตะวันเริ่มออกดอก

คุณดาหวัน ห้องกระจก อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ที่ 9 ตำบลโคกตูม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เป็นเกษตรกรคนหนึ่งที่ปลูกทานตะวันเสริมจากพืชหลัก ในทุกปีช่วงเดือนเมษายน ถึงสิงหาคม หลังจากปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คุณดาหวันจะปรับพื้นที่และเตรียมดินเพื่อปลูกพืชรุ่นที่สองอย่างทานตะวันบนพื้นที่ 280 ไร่

การมองหาพืชรุ่นที่สองมาปลูกต่อจากพืชหลักในช่วงนั้นหาได้ยาก เพราะด้วยข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมและสภาพพื้นที่ แหล่งน้ำ อีกทั้งกำลังแรงงานที่ใช้ในการดูแลก็มีน้อย ทำให้พืชที่จะนำมาปลูกได้ในตอนนั้นต้องเป็นพืชที่ไม่ต้องดูแลมาก

คุณดาหวัน เล่าให้ฟังว่า ตนเองเป็นเกษตรกรยึดอาชีพเกษตรกรรมมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ พืชที่ปลูกคือข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พอหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้วก็ไม่ได้ปลูกพืชอะไรต่อ ทำให้พื้นที่ก็ว่างเปล่าอยู่หลายเดือนกว่าฤดูกาลปลูกข้าวโพดจะมาถึง ทำให้ต้องหาพืชรุ่นสองมาปลูกต่อจากข้าวโพด

“ครั้นจะปลูกอ้อยกับมันก็ไม่มีความรู้ในการดูแล มีเพียงแต่ทานตะวันที่เห็นเพื่อนเกษตรกรด้วยกันนำเข้ามาปลูกในพื้นที่และได้เข้ามาแนะนำให้ปลูกในทุกๆ ปีของเดือนตุลาคมหลังจากที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้ว”

เริ่มรายแรก ปลูกเป็นเครือข่าย

ดอกบานเต็มที่

หลังจากที่ได้รับคำแนะนำและเรียนรู้การปลูกและการดูแลทานตะวันจากเพื่อนแล้ว หลังเก็บเกี่ยวข้าวโพดเสร็จคุณดาหวันก็ตัดสินใจนำทานตะวันมาปลูกในพื้นที่เป็นรายแรกๆ ของชุมชน หลังจากที่ได้เห็นและเรียนรู้จากการได้เห็นและสัมผัสมา

“การเตรียมพื้นที่ปลูก อันดับแรกเราจะใช้รถไถผาล 2 ไถก่อนครั้งแรก พอไถเสร็จเรียบร้อยก็จะหว่านเมล็ดพันธุ์ และสำหรับการหว่านเมล็ดพันธุ์นั้นเราจะต้องหว่านเผื่อไว้เพื่อป้องกันเมล็ดพันธุ์ไปตกติดอยู่ในลำต้นข้าวโพดที่ไถไปกับดิน ซึ่งจะทำให้เมล็ดไม่สามารถงอกได้ ทำให้เราต้องหว่านเผื่อไว้ ซึ่งวิธีนี้เราจะต้องใช้เมล็ดพันธุ์ในการหว่านโดยประมาณ 1.3-1.5 กิโลกรัม ต่อไร่

แต่ถ้าหากมีเวลาในการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก จะใช้วิธีการหยอดลงหลุมโดยวิธีนี้จะต้องเตรียมพื้นที่ปลูกให้เป็นแถวก่อน หลังจากนั้น ก็จะใช้รถไถเล็กหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไป 1-2 เมล็ด ต่อหลุม ซึ่งการปลูกวิธีนี้จะทำให้ต้นทานตะวันขึ้นตรงกันเป็นแถว ดูเรียบร้อย และที่สำคัญวิธีการหยอดลงหลุมจะใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 8 ขีด ต่อไร่ ซึ่งน้อยกว่าการหว่าน

พันธุ์ทานตะวันที่ปลูกเป็นพันธุ์อาร์ตูเอล เป็นพันธุ์ที่มีน้ำหนักดี แต่ให้น้ำมันน้อย แต่ที่ผ่านมาจะปลูกพันธุ์จัมโบ้ ซึ่งจะให้ปริมาณน้ำมันเยอะกว่าสายพันธุ์อื่นที่ปลูกมา แต่สำหรับปีนี้ได้รับแจกเมล็ดพันธุ์จากหน่วยงานของรัฐจึงนำมาปลูก ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ทางหนึ่ง เพราะแต่ละปีการปลูกทานตะวันแต่ละรอบนั้นจะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 400 บาทใหม่ทุกครั้ง เพราะเราไม่สามารถเก็บเมล็ดจากต้นมาทำเป็นพันธุ์ปลูกต่อได้” คุณดาหวัน กล่าว

ทุ่งทานตะวัน บนเนื้อที่ 280 ไร่

ดูแลให้ปุ๋ย ผลผลิตงดงาม

คุณดาหวัน เล่าต่อว่า หลังจากที่ปลูกจนต้นทานตะวันเจริญเติบโตขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วก็จะให้ปุ๋ยทางใบเสริม แต่หากช่วงที่ไม่มีเวลาก็ปล่อยให้ธรรมชาติดูแลเอง

ส่วนเรื่องการดูแลทานตะวันนั้น คุณดาหวัน บอกว่า มีการดูแลที่เหมือนกันทุกๆ สายพันธุ์ หากได้รับน้ำในปริมาณที่พอดี ก็จะทำให้ดอกและต้นสวยสมบูรณ์ดี แต่หากได้น้ำมากจนเกินไป ก็จะทำให้ต้นแคระแกร็น ซึ่งตั้งแต่ที่ปลูกมาก็ไม่พบปัญหาอะไรที่รุนแรง โรคและแมลงก็มีน้อย

ชูช่อรับแสงอาทิตย์

“ทานตะวันจะใช้ระยะเวลาประมาณ 60-65 วัน โดยเฉลี่ยในการสร้างลำต้น ดอก จนสมบูรณ์ถึงจะเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยใช้แรงงานคนหรือเครื่องจักรกล ซึ่งที่นิยมใช้จะเป็นเครื่องจักรกลมากกว่าแรงงานคน เพราะว่าเครื่องจักรกลในขณะที่เก็บเกี่ยวอยู่นั้น เครื่องก็จะทำการสีไปพร้อมๆ กัน เราไม่ต้องนำดอกทานตะวันไปผ่านกระบวนการสีอีกครั้ง แต่สำหรับแรงงานคนเราต้องนำดอกทานตะวันที่เก็บไปผ่านกระบวนการสีอีกครั้งหนึ่งถึงจะนำไปสกัดเป็นน้ำมัน ซึ่งต้องเสียเงินทั้งจ้างแรงงานและจ้างสี ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง”

“ปริมาณผลผลิตที่ได้ของดอกทานตะวันอยู่ที่ 250 กิโลกรัม ต่อไร่ จำหน่ายออกไปกิโลกรัมละ 16-17 บาท ซึ่งหากพูดถึงกำไรก็จะได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากน้ำดี ไม่มีโรคแมลงที่ยากที่จะแก้ไข ไม่พบกับปัญหาภัยธรรมชาติ แต่หากปีไหนที่มีปัญหาก็จะได้กำไรลงน้อยลง ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

วันนี้ทานตะวันมีน้อยลงทุกปี เนื่องจากเกษตรกรเริ่มหันไปสนใจกับมันสำปะหลัง อ้อย และปลูกข้าวโพดรุ่นสองซึ่งมีผลตอบแทนที่ดีกว่าทานตะวัน คุณดาหวัน กล่าวทิ้งท้าย

ปัจจุบันนี้ คุณดาหวัน ได้พัฒนาตัวเองมาเป็นตัวแทนขายเมล็ดพันธุ์และเป็นผู้รับเหมาซื้อผลผลิตทานตะวันจากเพื่อนเกษตรกรที่เป็นเครือข่ายไปส่งขายให้กับโรงงาน นอกจากนี้ ทุกๆ ปีทุ่งทานตะวันของคุณดาหวันจะเปิดให้เป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเก็บภาพความงดงามของดอกทานตะวันนับแสนดอก ซึ่งท่านใดที่สนใจสามารถติดต่อไปได้ที่โทร. (081) 745-0504