ผู้เขียน | สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร |
---|---|
เผยแพร่ |
โดยปกติส้มเขียวหวานที่เข้าสู่ตลาดเดือนธันวาคม ถือว่ามีรสชาติอร่อยมากสุดในรอบปี เพราะต้นส้มเจริญเติบโตอย่างเต็มที่หลังผ่านฤดูฝนและผ่านช่วงฤดูหนาวมาสักระยะแล้ว ในทางวิชาการเท่ากับว่าเป็นระยะที่ต้นไม้พักตัว จะไม่มีการแตกใบอ่อนหรือแตกราก อาหารที่ปรุงได้ทั้งหมดก็จะถูกเก็บสะสมในผลส้ม จึงเรียกได้ว่าเดือนธันวาคมเป็นฤดูกาลรับประทานส้มเขียวหวานที่มีรสชาติอร่อยสุดในรอบปี
กรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะหน่วยงานส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งตนเองได้ ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรให้มีขีดความสามารถในการผลิตและจัดการสินค้าเกษตรตามความต้องการของตลาด ให้บริการทางการเกษตรและผลิตปัจจัยทางการเกษตรเพื่อสนับสนุนและจำหน่ายแก่เกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับความต้องการสินค้าเกษตรปลอดภัยที่กำลังเป็นกระแสความนิยมของตลาดปัจจุบัน เกษตรกรและผู้บริโภคทั่วไปจึงควรทราบเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่จำเป็นสำหรับการผลิตส้มเขียวหวานที่ปลอดภัยนั้นควรปฏิบัติอย่างไรให้สอดคล้องกับสถานกาณ์ปัจจุบัน
ส้มเป็นไม้ผลกึ่งเขตร้อนมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีสารอาหารที่สำคัญเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซี และวิตามินเอ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย เป็นไม้ผลที่มีอายุยืนนานให้ผลผลิตได้หลายปีติดต่อกัน ตลอดจนสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดปีและปลูกได้เกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย เกษตรกรจึงนิยมปลูกกันมาก สำหรับพันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นการค้าและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจมาก ได้แก่ ส้มเขียวหวาน ส้มโอ มะนาว ส้มเกลี้ยง และส้มตรา การเก็บเกี่ยวส้มจะนับจากวันออกดอกถึงเก็บผลใช้เวลา 8-9 เดือน
การผลิตส้มเขียวหวานให้มีคุณภาพดีและปลอดภัยนั้น
อันดับแรก คือที่ตั้งสวนต้องอยู่ห่างจากแหล่งที่มีการระบาดของโรคอย่างน้อย 10 กิโลเมตร ลักษณะดิน ควรมีอินทรียวัตถุไม่น้อยกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ pH อยู่ระหว่าง 5.5-6.5 ระดับน้ำใต้ดินลึกมากกว่า 1 เมตร
อันดับที่สอง คือ การใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยให้เป็นไปตามการวิเคราะห์ดินซึ่งควรทำ 1-2 ปี ต่อครั้ง เพื่อใส่ปุ๋ยตามสูตรและอัตราที่เหมาะสม ถ้า pH ต่ำกว่า 5.5 (เป็นกรด) ควรใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ อัตรา 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น ปีละ 1-2 ครั้งในฤดูแล้งแล้วให้น้ำตามปกติ
การปลูกในปีแรกให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 10-20 กิโลกรัม ต่อต้น และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 20-50 กิโลกรัม ต่อต้นในปีที่ 2-4 โดยใส่ปีละครั้งช่วงปลายฤดูฝน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 + 46-0-0 (1 : 1) อัตรา 0.5-1.0 กิโลกรัม ต่อต้นในปีแรก โดยแบ่งใส่ 4-6 เดือน ต่อครั้ง และอัตรา 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น ในปีที่ 2-4 โดยใส่ 3-4 เดือน ต่อครั้ง และเมื่อส้มมีอายุ 4 ปีขึ้นไป ให้ใส่ปุ๋ยดังนี้ ก่อนออกดอกใส่สูตร 12-24-12 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อต้น และพ่นปุ๋ยทางใบเพื่อเพิ่มธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม และเมื่อถึงระยะติดผลให้ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ทองแดง โบรอน และแมงกานีส เป็นต้น โดยพ่นทางใบ ช่วงใกล้เก็บเกี่ยว ใส่ปุ๋ย 13-13-21 อัตรา 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น หลังเก็บเกี่ยว ใส่ปุ๋ย 15-15-15 + 46-0-0 (1 : 1) อัตรา 1-3 กิโลกรัม ต่อต้น พร้อมพ่นปุ๋ยทางใบที่มีธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม และให้ปุ๋ยอินทรีย์ 20-50 กิโลกรัม ต่อต้น การให้น้ำ ให้น้ำ 20-40 ลิตร ต่อต้นทันทีหลังปลูก และให้อีกครั้งห่างจากครั้งแรก 2-5 วัน จนส้มตั้งตัว อย่าให้ส้มขาดน้ำจนมีอาการเหี่ยว ช่วงเวลาให้น้ำที่เหมาะสมคือ 08.00-10.00 น. และ 14.00-16.00 น.
การบังคับน้ำ หลังส้มแตกใบอ่อน 60 วันในช่วงอากาศร้อน หรือ 90 วันในช่วงอากาศเย็น เริ่มงดการให้น้ำ ระยะเวลางดการให้น้ำ ขึ้นอยู่กับอายุ ขนาดทรงพุ่ม และสภาพดินฟ้าอากาศ โดยสังเกตจากการเหี่ยวของใบส้มเร็วขึ้นแต่ละวัน ถ้าใบเหี่ยวช่วงเวลา 10.00-11.00 น. ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการงดน้ำ หลังจากนั้น ให้น้ำติดต่อกันจนส้มออกดอกติดผล
อันดับที่สาม ให้มีการตัดแต่งกิ่งควรทำอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนกระทั่งให้ผล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังเก็บเกี่ยวผลแล้ว ลักษณะของกิ่งที่ควรแต่งออกคือ
- กิ่งแขนงที่รกทึบด้านล่างและกลางลำต้น
- กิ่งปลายยอดที่ห้อยลงชิดดิน
- กิ่งอ่อนแอ ไม่สมบูรณ์ มีใบน้อย
- กิ่งน้ำค้าง หรือกิ่งกระโดง
- กิ่งที่มีลักษณะคดงอไขว้หรือพันกัน
- กิ่งที่เป็นโรค หรือถูกแมลงวันทำลาย ตลอดจนกิ่งแห้งตาย
ภายหลังจากการตัดแต่งกิ่งแล้ว ควรทาแผลด้วยคอปเปอร์อ๊อกซีคลอไรด์ หรือปูนแดง หรือปูนขาว เพื่อป้องกันเชื้อรา ภายหลังจากส้มเขียวหวานติดผลแล้ว ควรปฏิบัติดังนี้
- ปลิดผลออกบ้าง ในกิ่งที่ติดผลมากๆ
- ตัดแต่งผลที่เป็นโรคออกแล้วนำไปฝังกลบหรือเผาเสีย
- ค้ำยันกิ่ง เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักเนื่องจากการรับน้ำหนักหรือลมแรง
อันดับที่สี่ ต้องระวังรักษาแปลงปลูกให้ถูกสุขลักษณะและสะอาดอยู่เสมอ ดังนี้
- กำจัดวัชพืช ควรกำจัดขณะวัชพืชยังเล็ก เพื่อไม่ให้แข่งขันกับพืชหลัก หรือเป็นแหล่งเพาะศัตรูพืช หรือติดไปกับผลผลิต
- ควรเก็บวัชพืช เศษพืช โดยเฉพาะที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลงปลูก
- อุปกรณ์ เช่น กรรไกร เครื่องพ่นสารเคมี ภาชนะที่ใช้เก็บผลผลิต ฯลฯ หลังจากใช้งานแล้วต้องทำความสะอาด และเก็บให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
- ภาชนะบรรจุสารเคมีที่ใช้หมดแล้ว ให้ล้างทำความสะอาด นำน้ำที่ล้างไปพ่นป้องกันกำจัดศัตรูพืช สำหรับภาชนะบรรจุให้ทำลายอย่างเหมาะสม เช่น ฝังดิน ไม่ควรนำกลับมาใช้อีก
ศัตรูที่สำคัญและข้อบังคับการหยุดใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว
1. โรคกรีนนิ่ง ป้องกันกำจัดโดยไม่ปลูกพืชอาศัยของแมลงพาหะ เช่น ต้นแก้ว พบต้นที่เป็นโรคต้องขุดและเผาทำลายนอกแปลงปลูก ป้องกันกำจัดเพลี้ยไก่แจ้โดยพ่นอิมิดาคลอพริด (10% LS) หยุดใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน
- โรคทริสเทซ่า ป้องกันกำจัดโดย พบต้นที่เป็นโรคต้องขุดและเผาทำลายนอกแปลงปลูก ป้องกันกำจัดเพลี้ยอ่อนแมลงพาหะโดยพ่นคาร์โบซัลแฟน (20% EC) หยุดใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน
- โรครากเน่าโคนเน่า ป้องกันกำจัดโดยใช้ต้นตอพันธุ์ที่ทนทานต่อโรค เช่น ทรอยเยอร์ คลีโอพัตรา ปรับสภาพดินให้มี pH 5.5-6.5 โดยใช้ปูนขาวหรือโดโลไมท์ ปีละ 1-2 ครั้ง ไม่ให้มีน้ำขังบริเวณโคนต้น ใช้สารเมทาแลกซิล (25% WP)
- หนอนชอนใบ ป้องกันกำจัดโดยจัดการให้ส้มแตกใบอ่อนพร้อมกัน หากพบหนอนชอนใบมากกว่า 50% ใช้สารอิมิดาคลอพริด (10% SL) หรือฟลูเฟนนอกซูรอน (5% EC) หยุดใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน
- เพลี้ยไฟพริก ใช้สารอิมิดาคลอพริด (10% LS) หรือโฟซาโลน (35% EC) หยุดใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน
- ไรแดง ใช้สารโปรปาไกต์ หยุดใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน
- ไรสนิมส้ม ใช้กำมะถัน (80% WP) หยุดใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน
นอกจากนี้ บางสวนที่มีเงินทุนและแรงงานมากอาจใช้วิธีการห่อผลส้มด้วยถุงกระดาษหรือถุงพลาสติกใสร่วมกันเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชแทนการใช้สารเคมี ซึ่งการห่อผลส้มควรทำการห่อในระยะอายุผล 1 เดือนครึ่งหลังดอกบานแล้วจะได้ผลดีที่สุด เนื่องจากแมลงศัตรูพืชยังระบาดไม่มากสำหรับผลส้มในระยะนี้ กรณีการห่อผลส้มที่อายุ 6-7 เดือนก่อนการเก็บเกี่ยวก็สามารถทำได้เช่นกันเพราะจะเป็นการเสริมการป้องกันแมลงเข้าทำลายและลดการใช้สารเคมีในระยะสุดท้ายก่อนการเก็บเกี่ยว แต่หากถ้าก่อนทำการห่อผลมีการเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืชแล้วก็จะไม่มีประโยชน์ในการห่อ อีกทั้งยังสิ้นเปลืองแรงงานโดยใช่เหตุ