ระมัดระวัง! กยท. เตือนเกษตรกรชาวสวนยาง ระวังกรดฟอร์มิกปลอม ทำยางไม่ได้คุณภาพ

กยท. เตือนเกษตรกรชาวสวนยาง ระวังกรดฟอร์มิกปลอม คุณภาพไม่ตรงตามฉลาก หลังฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง กยท. ลงสุ่มเก็บตัวอย่างสารจับยางในพื้นที่ทางภาคอีสาน พบสารจับยางคุณภาพไม่ตรงตามที่ระบุบนฉลาก เมื่อใช้จับตัวยางทำให้ยางเสียหาย ไม่ได้คุณภาพที่ควรจะเป็น ส่งผลต่อเกษตรกร และประเทศชาติ แนะเกษตรตรวจสอบให้มั่นใจก่อนซื้อใช้

นางปรีดิ์เปรม ทัศนกุล นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง การยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้มีการรณรงค์และสนับสนุนให้เกษตรกรชาวสวนยาง หันมาใช้กรดฟอร์มิกแทนกรดซัลฟิวริกมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นสารอินทรีย์ที่สลายตัวง่าย ไม่มีผลตกค้างในยางและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรสามารถผลิตยางที่มีคุณภาพดี ขายได้ราคา ทำให้ที่ผ่านมาเกษตรกรตระหนักและหันมาใช้กรดฟอร์มิกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในตลาดที่ผลิตและขายสารจับตัวยางบางราย มีการผลิตสารจับตัวยางที่มีส่วนผสมของซัลเฟตและเกลือคลอไรด์เพื่อช่วยให้ยางจับตัวเร็ว และมีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ทำให้เกษตรกรเกิดความเข้าใจผิด และนำมาใช้จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อทั้งคุณภาพยาง และสุขภาพของเกษตรกร ซึ่งจากการลงพื้นที่สุ่มเก็บตัวอย่างสารจับตัวยางในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งสิ้น 22 ตัวอย่าง พบว่า มีเพียง 1 ตัวอย่างเท่านั้นที่เป็นกรดฟอร์มิกแท้ความเข้มข้น 94% ตรงตามที่ระบุในฉลาก ส่วนอีก 8 ตัวอย่าง หรือคิดเป็นร้อยละ 36.4 เป็นกรดฟอร์มิกที่มีความเข้มข้นไม่เป็นไปตามที่ระบุบนฉลาก มีความเข้มข้นเพียง 17.89 – 82.92 เท่านั้น และอีก 7 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 31.8 ที่เป็นกรดซัลฟิวริกพบระดับความเข้มข้นระหว่าง 36.17 – 99.74 โดยที่บนฉลากจะตั้งชื่อทางการค้าเป็นชื่ออื่นทั้งหมด และยังมีอีก 5 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 22.7 เป็นกรดฟอร์มิกผสมแคลเซียมคลอไรด์ และกรดซัลฟิวริกผสมแคลเซียมคลอไรด์ และที่เหลืออีก 1 ตัวอย่างเป็นแคลเซียมคลอไรด์ล้วนๆ ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 36.78%

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบปริมาณโลหะด้วยเครื่อง Atomic Absorption Spectroscopy ทั้งกรด ฟอร์มิกปลอมและกรดอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุชนิดของสารเคมี พบโลหะธาตุของแคลเซียมตั้งแต่ระดับ 0.17 – 5,340 ppm แมกนีเซียมระหว่าง 0.11 – 49.28 ppm ธาตุเหล็ก 0.02 – 0.53 ppm และทองแดงน้อยกว่า 0.01ppm ซึ่งจากการศึกษาพบว่า หากน้ำยางมีปริมาณแคลเซียมเกิน 500 ppm  ขึ้นไป จะทำให้ยางขาดความยืดหยุ่น มีความหนืดต่ำ และมีความชื้นสูง  ซึ่งปริมาณโลหะธาตุที่อยู่ในน้ำยางจะส่งผลต่อรอยตำหนิ เป็นรอยแตกที่เกิดขึ้นบนผลิตภัณฑ์ได้ทำให้แรงรับน้ำหนักบริเวณนั้นเสียไป โดยประเด็นสำคัญคือ เกษตรกรไม่สามารถแยกแยะได้ว่าขวดไหนเป็นกรดฟอร์มิกจริง ขวดไหนเป็นกรดฟอร์มิกปลอม ทำให้สร้างความสับสนให้เกษตรกร เพราะสารจับตัวยางที่ระบุว่ากรดฟอร์มิกนั้น ก็ยังไม่ใช่กรดฟอร์มิกตามที่ระบุ แต่ถึงแม้ว่าบางยี่ห้อเป็นกรดฟอร์มิกแต่ก็มีความเข้มข้นน้อยกว่าตามที่ระบุอยู่มาก รวมถึงมีการแจ้งจากกลุ่มเกษตรกรบางรายที่ใช้กรดฟอร์มิกปลอมดังกล่าว พบว่าเกิดผลกระทบต่อผิวหนังอย่างรุนแรง เป็นแผลลึกเข้าไปในเนื้อ สร้างความเสียหายต่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวสวนยางอีกด้วย

นางปรีดิ์เปรม กล่าวย้ำว่า จากผลการศึกษาในครั้งนี้ นอกจากส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนยางแล้ว ยังเข้าข่ายการหลอกลวงผู้บริโภค และส่งผลในภาพรวมที่เสียหายต่อประเทศชาติ เพราะผลผลิตยางทางภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปีที่ผ่านมา มีปริมาณยางทั้งสิ้นประมาณ 636,531 ตัน และจากการใช้กรดปลอมทำให้ยางไม่ได้มาตรฐานกว่าร้อยละ 50 ซึ่งเป็นความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศผู้ส่งออกยางที่มีคุณภาพประเทศหนึ่งของโลก และเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กยท. ในฐานะหน่วยงานหลักในการดูแลคุณภาพยางระดับประเทศ จะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพสารจับตัวยางเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อทราบถึงการปลอมปนสารที่ไม่ได้มาตรฐาน และในอนาคตอาจมีมาตรกรในการควบคุมสารจับตัวยางทุกชนิดในเชิงการค้า ซึ่งอาจจะต้องหารือร่วมกับหลายๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้ผลิตและจำหน่ายขึ้นทะเบียนกับ กยท. เพื่อทำการควบคุมคุณภาพยางในอนาคต

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์