กรมส่งเสริมการเกษตร แนะ 8 วิธี รับมือ “น้ำเค็มรุก” เข้าสวน

กรมส่งเสริมการเกษตร แนะวิธีรับมือน้ำเค็มรุกเข้าสวน จากสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงดันน้ำเค็มไหลเข้าแม่น้ำหลายแห่งในพื้นที่การเกษตร ส่งผลให้เกิดค่าความเค็มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในลุ่มน้ำเจ้าพระยา

นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า จากสถานการณ์น้ำเค็มรุกพื้นที่การเกษตรที่เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังค่าความเค็มที่คาดว่าจะสูงเกินเกณฑ์ปกติในอีก 2 ช่วง คือ วันที่ 9-19 ก.พ. 2564 และ วันที่ 25 ก.พ.-12 มี.ค. 2564 เพราะเป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง และเกิดน้ำหนุนต่อเนื่องกัน 2 รอบ อันเกิดจากน้ำจืดต้นน้ำเหนือเขื่อนมีปริมาณน้อย น้ำทะเลหนุนสูงดันให้น้ำเค็มไหลเข้าไปในแม่น้ำหลายแห่งในพื้นที่การเกษตรของจังหวัดที่อยู่แถบปากแม่น้ำ ทำให้ค่าความเค็มสูงกว่าค่ามาตรฐานที่พืชรับได้ โดยเฉพาะน้ำเค็มอาจรุกเข้าพื้นที่อย่างน้อย 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม สร้างผลกระทบและความเสียหายให้กับพื้นที่สวนกล้วยไม้ สวนไม้ผลไม้ยืนต้น และพืชอื่นๆ ได้

ผลกระทบของน้ำเค็มที่มีต่อพืช เมื่อเกษตรกรนำมารดต้นพืชจะพบว่า ปลายใบไหม้ ต้นเหี่ยวเฉา ใบเหลือง เป็นอาการขาดน้ำของพืชทั่วไป แต่หากพืชอยู่ในระยะกำลังเริ่มสร้างช่อดอกหรือผสมเกสรจะส่งผลให้ช่อดอกไม่พัฒนาต่อ ไม่เกิดการผสมเกสร ผลผลิตจะลดลงตามมา แต่หากติดผลแล้วก็จะสลัดลูกร่วงทิ้ง สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เพราะพืชไม่สามารถใช้น้ำได้ตามวัฏจักรปกติตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น เมื่อใช้น้ำเค็มรดให้ต้นพืช จะมีคราบขี้เกลือสีขาวปรากฏอยู่ทั่วสวน กรมส่งเสริมการเกษตรจึงขอแนะนำวิธีการป้องกันเพื่อรับมือเมื่อน้ำเค็มรุกสวนสำหรับเกษตรกร เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดังนี้

1) ติดตามสถานการณ์เตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร อย่างใกล้ชิด

2) ปิดประตูระบายน้ำในสวนตนเอง พร้อมสำรองน้ำและอุดรูรั่วตามแนวคันสวนโดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเค็มเข้าร่องสวน

3) ขุดสร้างคันดินล้อมรอบสวนเพื่อป้องกันการรุกของน้ำเค็ม

4) ลอกเลนตามร่องสวนออก เพื่อเพิ่มพื้นที่การเก็บกักน้ำและดึงน้ำจากดินชั้นล่างให้ไหลออกมาใช้ได้

5) ดูแลการเขตกรรมในสวนตนเองอย่างใกล้ชิด ด้วยการตัดแต่งกิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อลดการคายน้ำ ไม่ปลูกพืชใช้น้ำมากในช่วงนี้ และใช้วัสดุคลุมโคนต้นเพื่อรักษาความชื้นของหน้าดิน เช่น หญ้า ตอต้นกล้วย

6) จัดหาแหล่งน้ำสำรอง เพื่อเก็บน้ำจืดจากแม่น้ำหรือกักเก็บน้ำธรรมชาติ หรือขุดบ่อบาดาลเพื่อนำน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้

7) กรณีน้ำเค็มเข้าสวนแล้ว ให้รีบระบายน้ำเค็มออกจากแปลงปลูกให้หมด แล้วจัดหาน้ำจืดมาให้แก่ต้นไม้ผล เพื่อช่วยให้ต้นไม้ผลมีชีวิตอยู่รอด อีกทั้งยังช่วยล้างความเค็มของดินออกไปอีกด้วย

8) กรณีเป็นต้นไม้เล็ก ให้พรางแสงเพื่อช่วยลดอุณหภูมิที่ผิวดินและลดการคายน้ำของพืช

วิธีการเฝ้าระวังพื้นที่น้ำเค็ม

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดบูรณาการการทำงานร่วมกันและดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้

โดยได้ดำเนินการแล้ว ดังนี้ 1) ทำให้น้ำเค็มเจือจางลง : โดยเพิ่มอัตราการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาลงมาเพื่อผลักดันน้ำเค็มให้เจือจางลง 2) พึ่งพาอาศัยน้ำจากแหล่งน้ำข้างเคียง โดยผันน้ำจากแม่น้ำเข้ามาช่วยเติมให้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเกษตรภาคกลาง 3) หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายต้องประสานกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อดำเนินการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคและบริโภค 4) มอบหมายเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรอำเภอแจ้งเตือนภัย ติดตามการระบายน้ำ เพื่อรับทราบสถานการณ์การลดระดับความเค็มของน้ำและประสานทำความเข้าใจกับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด 5) ไม่ส่งเสริมให้มีการทำนาปรังเกิน 2 ครั้ง ต่อปี และงดทำนาปรังหลังจากเดือนกุมภาพันธ์เนื่องจากไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับการเกษตร ต้องสงวนน้ำไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศวิทยา เป็นการรักษาน้ำต้นทุนและเก็บน้ำไว้ใช้ก่อนภัยแล้งมาถึง (เดือนเมษายน)

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดการณ์ผลกระทบจากปัญหาน้ำเค็มที่อาจจะเกิดกับพืชสวน เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป จึงขอความร่วมมือพี่น้องเกษตรกรทุกคนควรช่วยกันควบคุมดูแล ใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า เพื่อเตรียมการป้องกันสถานการณ์แล้งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้