สสน. เผย ปี 64 ไทยเผชิญวิกฤติภัยแล้งหนัก ฝนน้อย เจ้าพระยามีค่าน้ำเค็มมากที่สุดในรอบ 10 ปี หว้่นกระทบผลผลิตการเกษตร

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ภายใต้การนำของ ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และ ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพายากรน้ำ เปิดห้องบัญชาการวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์น้ำ พร้อมเปิดเผยว่า ในปีนี้ แม่น้ำเจ้าพระยามีค่าน้ำเค็มมากที่สุดในรอบ 10 ปี เตือนไทยเสี่ยงเผชิญวิกฤติภัยแล้งหนัก ฝนน้อย ขาดน้ำ กระทบผลผลิตการเกษตรทั่วประเทศ

สำหรับปริมาณฝนสะสมประเทศไทย ในปี 2563 มีน้อยกว่าค่าปกติประมาณ ร้อยละ 4 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ฝนน้อยกว่าปกติ 2 ปี ติดต่อกัน (ปี 2562-2563) โดยเฉพาะภาคเหนือที่ฝนน้อยกว่าปกติ ถึงร้อยละ 17 ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำต่างๆ มีน้อย โดยเฉพาะปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) ในวันเริ่มต้นฤดูแล้ง 1 พฤศจิกายน 2563 มีปริมาณน้ำใช้การเพียง 5,771 ล้านลูกบาศก์เมตร

ขณะที่ความต้องการน้ำในช่วงฤดูแล้งถึงช่วงต้นฤดูฝนที่จะต้องเตรียมไว้ ประมาณ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ต้องงดการส่งน้ำทำนาปรังในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยจะใช้น้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลัก ประมาณ 3,500 ล้านลูกบาศก์เมตร และต้องดึงน้ำมาจากลุ่มน้ำแม่กลองประมาณ 500 ล้านลูกบาศก์เมตร มาเพื่อผลักดันน้ำเค็ม

ปัจจุบัน มีปริมาณน้ำใช้การใน 4 เขื่อนหลัก ของลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมเพียง 3,884 ล้านลูกบาศก์เมตร (17 กุมภาพันธ์ 2564) ทำให้ฤดูแล้งปี 2563/2564 มีน้ำไม่เพียงพอต่อ “การสนับสนุนการเกษตร” ซึ่งภาครัฐได้ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร งดทำนาปรัง เนื่องจากจำเป็นต้องเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับ “การอุปโภค-บริโภค” และ “รักษาระบบนิเวศประมาณ 3,500 ล้านลูกบาศก์เมตร

ซึ่งตอนนี้ระบายน้ำตามแผนมาแล้ว 2,524 ล้านลูกบาศก์เมตร ยังต้องระบายน้ำมาอีกกว่าจะสิ้นสุดฤดูแล้ง 976 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปัจจุบันเกษตรกรกลับทำนาปรังไปแล้วมากกว่า 2.8 ล้านไร่ ทำให้เกษตรกรสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและตามคลองชลประทาน จนน้ำเพื่อใช้ผลิตน้ำประปาหลายแห่งมีไม่เพียงพอ และเริ่มมีข่าวการแย่งน้ำกันเกิดขึ้นแล้ว ปริมาณน้ำที่ระบายจากเขื่อนในฤดูแล้งปี 2564 นี้ อาจเกิดการสูบน้ำออกไปจากระบบเพิ่มมากขึ้น การประปาหลายแห่งที่ใช้น้ำจากคลองชลประทานอาจเกิดปัญหาขาดน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย

สำหรับเดือนมกราคมที่ผ่านมา สถานการณ์ความเค็มเริ่มรุกตัวเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาสูงมากขึ้น โดยมีค่าความเค็มสูงมาก จนสูงที่สุดเท่าที่มีการตรวจวัดมา ในรอบ 10 ปี บริเวณสถานีสูบน้ำสำแล จังหวัดปทุมธานี (ปากคลองประปา) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญของการประปานครหลวง ที่ผลิตน้ำให้กับกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออกทั้งหมด

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2564 เวลา 20.40 น. มีค่าความเค็มสูงถึง 2.53 กรัม ต่อลิตร ซึ่งนอกจากค่าความเค็มจะเกินมาตรฐานในการผลิตน้ำประปา ที่จะต้องมีค่าไม่เกิน 0.5 กรัม ต่อลิตร แล้ว ยังมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานน้ำใช้เพื่อการเกษตร 2.0 กรัม ต่อลิตร ด้วย แม้ในปัจจุบันความเค็มจะมีค่าลดต่ำลง แต่ก็ยังมีค่าความเค็มสูงอย่างต่อเนื่อง

ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า ความเค็มที่รุกตัวสูงมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณน้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยามีน้อย และการเกิดสภาวะน้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติ โดยมีอิทธิพลของลมใต้ที่เริ่มพัดปกคลุมทะเลอ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่ วันที่ 23 มกราคม 2564 ส่งผลให้น้ำทะเลเกิดการยกตัวของระดับน้ำทะเลพัดเข้าสู่อ่าวไทยตอนบน ระดับน้ำที่ตรวจวัดได้จริงบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาจึงสูงกว่าระดับน้ำขึ้น น้ำลง จากอิทธิพลของดวงจันทร์ โดยสูงกว่าประมาณ 50-60 เซนติเมตร การยกตัวของระดับน้ำทะเลนี้จะเสริมให้น้ำเค็มรุกตัวเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น

ความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยานั้น การประปานครหลวงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำน้ำเข้าสู่คลองประปาฝั่งตะวันออกและนำเข้าสู่ระบบผลิตน้ำประปา กระบวนการผลิตน้ำประปาไม่สามารถกรองค่าความเค็มที่ละลายในน้ำออกได้ ทำให้ต้องมีการเตือนถึงผู้ป่วยโรคไต โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงที่จะต้องระวังการนำน้ำประปาไปใช้ในการอุปโภคบริโภค

นอกจากค่าความเค็มจะกระทบต่อน้ำประปาของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว พื้นที่ผลผลิตทางการเกษตรยังได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะสวนทุเรียน จังหวัดนนทบุรี ไปจนถึงพื้นที่การเกษตรของคุ้งบางกะเจ้า มีค่าสูงถึง 7-20 กรัม ต่อลิตร น้ำเค็มได้เข้าสู่คลองสาขาของจังหวัดนนทบุรี กรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก และสมุทรปราการ ทำให้ต้นไม้และพืชผลทางการเกษตรเริ่มได้รับความเสียหายจำนวนมาก

ดร.สุทัศน์ กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมา เราได้ใช้น้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง ที่มีเขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญ มาช่วยใช้ในการผลักดันน้ำเค็มของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในปีนี้น้ำในเขื่อนทั้งสองกลับมีน้ำน้อยมาก ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำใช้การ ประมาณ 3,662 ล้านลูกบาศก์เมตร (17 กุมภาพันธ์ 2564) มีน้ำเพียงพอสำหรับใช้ในลุ่มน้ำแม่กลองเท่านั้น โดยอาจมีน้ำเหลือพอที่จะผันมาช่วยฝั่งเจ้าพระยาได้เพียง 350 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งไม่เพียงพอต่อการผลักดันน้ำเค็มอย่างเช่นปีที่แล้ว ที่ผันน้ำจากแม่กลองมาช่วยถึง 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาครัฐกำลังเร่งหาทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะกรมชลประทาน ที่กำลังเพิ่มการระบายน้ำมากระแทกลิ่มความเค็มเพื่อช่วยลดความเค็มที่รุกตัวเข้ามา แต่การระบายน้ำลงมากลับยังคงมีการสูบน้ำออกจากแม่น้ำไป ทำให้น้ำมาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งต้องเร่งทำความเข้าใจกับเกษตรกรและผู้ใช้น้ำ ตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงมา รวมทั้งต้องวางแผนการใช้น้ำอย่างรอบคอบ ให้ผ่านเดือนมีนาคมนี้ไปให้ได้

ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ

“คาดว่า เดือนเมษายนปีนี้ ฝนจะมาเร็ว และเริ่มตกมากขึ้น จากการวิเคราะห์อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก (ONI หรือ ENSO) มหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ (PDO) และมหาสมุทรอินเดีย (DMI) ซึ่งเป็นทะเลที่ส่งผลต่อสภาพอากาศและฝนในประเทศไทย ล่าสุดนั้น สามารถคาดการณ์ได้ว่า สถานการณ์ฝน ปี 2564 จะคล้ายคลึงกับ ปี 2539 ซึ่งคาดว่าเดือนเมษายนนี้จะมีฝนตกมากกว่าค่าปกติ ซึ่งอาจเกิดพายุฤดูร้อนได้บ่อยครั้ง จะทำให้สถานการณ์ภัยแล้งเริ่มคลี่คลายลง ดังนั้น หลักสำคัญในตอนนี้คือ เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาต้องเข้าใจสถานการณ์น้ำที่อยู่ในขั้นวิกฤตนี้ และไม่สูบน้ำไปจากแม่น้ำลำคลอง เพราะจะทำให้น้ำที่ใช้อุปโภค-บริโภค เกิดปัญหากับประชาชนต่อน้ำกินน้ำใช้ได้ ส่วนประชาชนทุกภาคส่วนก็ต้องใช้น้ำอย่างประหยัดอย่างจริงจัง” ดร.สุทัศน์ กล่าว

การเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อประมาณฝนของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยได้ทำให้เกิดฝนตกน้อยกว่าปกติติดต่อกัน 2-3 ปี ต่อเนื่องขึ้นบ่อยครั้ง รวมถึงการกระจายตัวในเชิงพื้นที่ที่เปลี่ยนไป ทำให้ฝนตกในพื้นที่ท้ายเขื่อนมากกว่าพื้นที่เหนือเขื่อน โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่มีฝนตกอยู่ในพื้นที่รับน้ำของเขื่อนเพียง 36% แต่กลับตกนอกพื้นที่รับน้ำของเขื่อนมากถึง 64% ส่งผลให้น้ำไหลลงเขื่อนมีน้อยลง

ซึ่งในภาพรวมทั้งประเทศไทย มีน้ำไหลลงเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง เพียง 42,620 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี (น้อยกว่าความจุของน้ำใช้การที่มีความจุรวม 52,165 ล้าน ลบ.ม.) ในขณะที่ประเทศไทยกลับมีความต้องการน้ำมากขึ้นถึง 153,578 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก 25% ในอีก 20 ปีข้างหน้า

ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ

ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า ในอนาคต เกษตรกรไทยจะพึ่งพาน้ำในเขื่อนเพียงอย่างเดียวคงจะทำให้รอดพ้นภัยแล้งและน้ำท่วมเป็นไปได้ยาก ต้องหันมาเก็บกักและบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ตัวเอง ใช้น้ำหมุนเวียน และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ ปลูกพืชหลากหลาย ลดพืชเชิงเดี่ยว เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ และมั่นคงทางด้านผลผลิตอย่างยั่งยืน