พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ชงแนวทางจัดการน้ำ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ทำเกษตรสมัยใหม่ เอื้อคนไทยกลับบ้าน มีอาชีพรายได้มั่นคง

ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้แรงงานในเมืองใหญ่ส่วนหนึ่ง มีแนวโน้มต้องกลับถิ่นฐานไปประกอบอาชีพในภาคเกษตรเป็นการถาวร ซึ่งหากประเทศไทยสามารถปรับโครงสร้างภาคเกษตร ปรับเปลี่ยนจากเกษตรรูปแบบเดิมมาสู่การเกษตรสมัยใหม่ที่ยั่งยืน ให้เป็นแหล่งจ้างงานสร้างอาชีพอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ประชาชนมีรายได้ยั่งยืน และสามารถประกอบอาชีพอยู่ในภูมิลำเนาของตัวเองได้ ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยแนวทางสำคัญในการพัฒนาไปสู่แนวทางเกษตรสมัยใหม่คือ การบริหารจัดการน้ำและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิต รวมทั้งการตลาดและช่องทางจัดจำหน่าย

♦ ทบทวนกลยุทธ์และปรับโครงสร้าง เสริมภูมิคุ้มกันให้ประเทศ

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาสสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะต้องกลับมาทบทวนว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับนโยบายที่มีผลกระทบโดยตรงต่อภาคเอกชนและประชาชน รวมไปถึงการพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และโครงสร้างใหม่ เพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นประโยชน์ในระยะยาว เช่น การปรับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อเป็นหลักประกันสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ ทั้งความมั่นคงด้านสุขภาพและด้านอาหาร เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิตอลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้ประเทศ พร้อมรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างสำคัญที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศได้อย่างยั่งยืน ได้แก่ 1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ปรับมารับนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณ ไม่เปิดโอกาสให้มีการรุกล้ำพื้นที่จนเกิดความเสื่อมโทรม และดูแลสิ่งแวดล้อม 2. ระบบการศึกษา ปรับปรุงระบบการศึกษา หลักสูตร และสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการศึกษายุคใหม่ 3. การพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิตอล ภาครัฐควรผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาใช้ เพื่อสนับสนุนการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกมิติ 4. การบริหารจัดการน้ำ ปัญหาภัยแล้งรุนแรงสลับกับน้ำท่วมยังเป็นวิกฤตของประเทศมายาวนาน ส่งผลต่อความยากจนและการเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก การดูแลเรื่องการบริหารจัดการน้ำอย่างจริงจัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีน้ำใช้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการทำเกษตร และ 5. โอกาสจากความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านแรงงาน รวมถึงการพัฒนาสินค้าและบริการของไทย สิ่งสำคัญคือความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จะช่วยเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

♦ การบริหารจัดการน้ำ ช่วยคนไทยกลับบ้านเกิด

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาการปรับโครงสร้างต่างๆ จำเป็นจะต้องยึดหลักและจัดตามความต้องการของประชาชน เช่น เรื่องการบริหารจัดการน้ำ เริ่มตั้งแต่การจัดสรรน้ำ น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องของปัญหาน้ำท่วม หรือการขาดแคลนน้ำ แต่ต้องเป็นน้ำที่ใช้ เพื่อจะได้มีการกระจายให้เข้าถึงพื้นที่เพาะปลูกสิ่งสำคัญคือต้องยึดเป้าหมาย และปรับฟังก์ชั่นให้ตรงกับเป้าหมาย รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้ ปัจจุบันมีประชาชนที่เคยอยู่ในธุรกิจบริการและกลับไปภูมิลำเนาเดิม เนื่องจากประเทศไทยมีความได้เปรียบและมีต้นทุนที่ดีเรื่องอาหารและการเกษตร ดังนั้น หากทุกภาคส่วนช่วยกันสร้างจุดแข็งในเรื่องการเกษตรและควบคู่กับการบริหารจัดการน้ำ จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้น

“วิกฤตโควิด-19 เปลี่ยนโครงสร้างทางการเกษตรของไทย เมื่อคนรุ่นใหม่กลับต่างจังหวัด ใช้เทคโนโลยีทำเกษตรสมัยใหม่ควบคู่กับการจัดการน้ำ พัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่ม ขายของออนไลน์ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ และให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาทักษะและอาชีพให้ประชาชนเพื่อสร้างรายได้และพึ่งพาตนเองให้ได้โดยเร็ว เช่น การพัฒนาสินค้าการเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม การใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อสร้างโอกาสการค้าขายออนไลน์ เป็นต้น”

♦ เกษตรสมัยใหม่ รู้จักจัดการน้ำควบคู่ใช้เทคโนโลยี

ในช่วงที่ผ่านมา เอสซีจีพยายามผลักดันเรื่องการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อมีน้ำจะทำให้สามารถเพาะปลูก มีผลผลิตทางการเกษตร เรียนรู้การทำเกษตรผสมผสาน สร้างอาชีพได้ ยกตัวอย่าง ชุมชนบ้านสาแพะเหนือ จังหวัดลำปาง ที่เอสซีจีเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำ และการทำเกษตรประณีตซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกรใช้พื้นที่เพาะปลูกไม่มากและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า สามารถพึ่งพาตัวเองด้วยการนำองค์ความรู้ต่างๆ ในการเกษตรมาบริหารจัดการเกษตรสมัยใหม่และพัฒนาผลผลิตให้มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันชุมชนบ้านสาแพะเหนือสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงแก่คนในชุมชน 40-50 ครอบครัว สามารถปลดหนี้และมีเงินกองทุนของชุมชนกว่า 10 ล้านบาท

♦ บ้านสาแพะเหนือ พลิกชีวิตและเศรษฐกิจจากการจัดการน้ำ

นายธีระพงษ์ กลิ่นฟุ้ง ชุมชนบ้านสาแพะเหนือ เล่าว่า ชุมชนเคยประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอเพื่อทำการเกษตร โดยแนวทางแก้ปัญหาเริ่มจากการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ ก่อนที่จะตัดสินใจวางแผนลงมือแก้ไข และให้พี่เลี้ยงที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำมาแนะนำ ได้แก่ เอสซีจี สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. และมูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากนั้นจึงวางแผนแก้ปัญหา โดยเริ่มตั้งแต่สร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ป่าต้นไม้ ควบคู่กับการดูแลรักษาป่า ไม่ตัดไม้ทำลายป่า และสำรวจพื้นที่แหล่งน้ำตามเส้นทางน้ำจากอ่างห้วยแก้ว สร้างแหล่งเก็บน้ำเพิ่ม ปรับปรุงแหล่งเก็บน้ำเดิม ป้องกันตะกอนไหลลงสู่แหล่งเก็บน้ำ เพื่อเอาน้ำเก็บไว้ใช้ทำเกษตรในฤดูแล้ง

การใช้น้ำหมุนเวียนของลุ่มน้ำห้วยแก้วมี 2 รูปแบบ โดยรูปแบบแรกคือ น้ำที่กระจายจากบ่อพวงคอนกรีต เข้าพื้นที่เกษตรรอบบ่อพวงแล้ว จะไหลลงไปในลำห้วยที่อยู่รอบข้างแปลงเกษตรทำให้ชุมชนสามารถสูบน้ำจากลำห้วยกลับขึ้นมาใช้ในแปลงเกษตร ทำให้ชุมชนสามารถสูบน้ำจากลำห้วยกลับขึ้นมาใช้ในแปลงเกษตรได้อีก ส่วนอีกหนึ่งรูปแบบใช้น้ำในลำห้วยแก้วบริเวณตอนล่าง (พื้นที่ทุ่งหลวง) จะถูกสูบน้ำขึ้นมาใช้บริเวณพื้นที่เกษตรทุ่งหลวง และด้วยพื้นที่เป็นแบบเทลาดลง ทำให้น้ำไหลตามร่องน้ำและพื้นที่เทลาดไหลกลับลงมาในลำห้วยอีกครั้ง ในลำห้วยจะมีวังเก็บน้ำที่ชุมชนขุดไว้ ก่อนฝายใต้ทราย (ดิน) แต่ละจุดสามารถสูบน้ำขึ้นไปใช้ทำการเกษตรด้านบนได้ ทำให้เกิดการหมุนเวียนน้ำใช้ทำเกษตรได้หลายรอบ

คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการ

ปัจจุบันบ้านสาแพะเหนือ เป็นชุมชนเกษตรกรรม 100% ทำการเกษตรตลอดทั้งปี ซึ่งการมีน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกทำให้ได้ผลผลิตดีมีราคาสูงขึ้น และสามารถต่อยอดการเพาะปลูกไปยังพืชผักอื่นๆ แทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยชุมชนได้เรียนรู้เรื่องน้ำหมุนเวียนในหลายระบบ และทำระบบให้ต่อกันมีการหมุนเวียนการใช้น้ำ 6-7 รอบ ถือเป็นการพลิกฟื้นชุมชนให้รอดแล้งและพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน