“ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง” พืชทำเงิน ที่อุตรดิตถ์

“ไผ่บงหวาน” มีจุดเด่นเรื่อง หน่อดก รสหวาน หอม กรอบ ทำหน่อนอกฤดูก็ได้ รับประทานสด ยิ่งอร่อย ทำให้ คุณภัทรา จันทร์ศรี เจ้าของ “บ้านสวนไผ่หวาน” เลขที่ 77/4 หมู่ที่ 13 ตำบลด่านนาขาม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ โทร. 081-366-4142 สนใจปลูกไผ่บงหวาน 10 กว่าไร่ไว้ที่จังหวัดแพร่มานานเกือบ 20 ปี

ต่อมาได้พัฒนาต่อยอด เปิดธุรกิจร้านอาหาร นำหน่อไผ่บงหวานมาประกอบเป็นอาหารในร้านทั้งหมด เช่น ส้มตำหน่อไม้ ยำหน่อไม้หวาน ผัดหน่อไม้หวานน้ำมันหอย ห่อหมกหน่อไม้ และอีกหลากหลายเมนู  

ในช่วงแรกที่ปลูก ต้นไผ่ยังเล็กมาก มีพื้นที่เหลือว่างระหว่างแปลงอยู่ คุณภัทราได้ปลูกผักแซมตามแปลงไผ่เช่น ผักบุ้ง พริก มะเขือ เพื่อให้มีรายได้ในช่วงแรกๆ หลังจากปลูกมาประมาณ 10 เดือน เริ่มเก็บหน่อไม้ขายได้บ้างแล้ว ในตอนแรกได้นำไปวางขายในตลาด แต่ประสบปัญหาคือ คนซื้อไม่เชื่อว่าหน่อไม้จะรับประทานดิบได้จริงๆ และไม่เชื่อว่ามีรสหวานจริงๆ

คุณภัทรา จันทร์ศรี

คุณภัทราจึงใช้วิธีแจกให้ชิมเพื่อจะทำตลาด และนำเอาหน่อไม้หวานไปประชาสัมพันธ์ในงานแสดงสินค้าเกษตรต่างๆ เพื่อเปิดตัวหน่อไม้หวาน ปีแรก ขายหน่อไม้จากต้นไผ่ 1,700 กอ สร้างรายได้ถึง 60,000 กว่าบาท จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะปลูกไผ่บงหวานเป็นพืชตัวหลัก

ไผ่บงหวานให้ผลตอบแทนเร็ว ลงทุนน้อยเพราะใช้สารชีวภาพ ปลอดจากโรคแมลงศัตรูพืช เนื่องจากกระแสตลาดตอบรับดีขึ้นมาเรื่อยๆ จึงขยายพื้นที่ปลูกไผ่บงหวานอย่างต่อเนื่องจนเต็ม 14 ไร่ มาถึงปัจจุบัน

บรรยากาศหน้าร้านบ้านสวนไผ่หวาน

นอกจากนี้ ยังเปิดร้านอาหาร “บ้านสวนไผ่หวาน” ขึ้น ที่อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยนำไผ่บงหวานมาทำเป็นอาหารสารพัดเมนู ต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้ไผ่บงหวานอีกทางหนึ่ง และจำหน่ายหน่อไม้สดแก่ผู้สนใจในราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท

ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง มีจุดเด่นอยู่ที่รสชาติหวาน ไม่ขม สามารถรับประทานหน่อไม้ดิบเหมือนผักสด ไม่ขมติดลิ้นเหมือนหน่อไม้ไผ่พันธุ์อื่นๆ นำไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู อาทิ ต้มจิ้มน้ำพริก ผัดน้ำมันหอย ชุบแป้งทอด และต้มจืดกระดูกหมู ฯลฯ

คุณภัทราแนะนำเทคนิคการบริโภคไผ่บงหวานให้ได้รสชาติอร่อย เริ่มจากต้มน้ำให้เดือดก่อนจึงค่อยใส่ไผ่บงหวานลงไปในน้ำเดือด สัก 5-7 นาทีจากนั้นจึงนำมารับประทานได้เลย ไม่ต้องต้มน้ำทิ้ง

ไผ่บงหวาน บัจจุบันราคาดี ขายได้กก.ละ80 บาท

สำหรับสายพันธุ์ไผ่บงที่ปลูกคือ พันธุ์เพชรน้ำผึ้ง ซึ่งพัฒนามากพันธุ์ไผ่บงหวานเมืองเลย โดยนำมาเพาะเมล็ดเพื่อคัดเลือกสายพันธุ์  เมื่อปี 2549 และขุดแยกเหง้าจากต้นแม่มาขยายพันธุ์ ทำให้มีอายุอยู่ได้มากกว่า 50 ปี จึงมีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ

ลักษณะเด่นของ ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง คือ ทำหน่อนอกฤดูได้ หน่อดก หน่อใหญ่เต็มมีน้ำหนัก 300 กรัมขึ้นไป ขุดหน่อได้ตั้งแต่ 8 เดือนขึ้นไป มีรสชาติหวาน หอม กรอบ อร่อย ที่สำคัญรับประทานสดๆ ได้ นำไปปรุงอาหารได้อย่างหลากหลายเมนูทั้งส้มตำ ยำ สลัด ห่อหมก ผัด ชุบแป้งทอด ต้มจืด

ตัวอย่างอาหารสารพัดเมนูจากไผ่บงหวาน

ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้งไม่มีสารไซยาไนด์ ปลูกง่าย ดูแลจัดการง่าย ไม่มีโรคและแมลงรบกวน ปัจจุบัน ได้คัดเลือกออกมาหลายเบอร์ ที่มีลักษณะเด่นพิเศษแตกต่างกันออกไป เช่น ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง เบอร์ 1, 2, 3, 9 เป็นต้น

ข้อดีอีกอย่างของการปลูกไผ่บงหวาน คือ ทำได้ในครอบครัว ไม่ต้องจ้างคนงานเยอะ ในครอบครัวมีลูกสาวอยู่ 2 คน ช่วงเวลาปิดเทอมฤดูร้อน ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงทำหน่อไม้นอกฤดู เป็นช่วงที่มีรายได้ดีมากๆ สูงกว่า แสนบาทต่อเดือนหลังหักต้นทุนแล้ว

ส้มตำไผ่หวาน เมนูยอดนิยมที่ร้าน

“การปลูกไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง มีรายได้เลี้ยงตัวเองได้อย่างมีความสุข ทั้งเป็นกิจกรรมเสริมสัมพันธ์ของครอบครัว เพราะดิฉันและแฟนเป็นคนขุดหน่อไม้ แล้วนำมาให้ลูกสาวคนเล็กเป็นคนล้างและแพ็กใส่ถุง ส่วนลูกสาวคนโตเป็นคนตัดแต่งและแพ็กหน่อไม้ใส่ถุงขายในตลาดหมู่บ้าน และตลาดอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ลูกค้าโทร.สั่งซื้อครั้งละ 10-20 กิโลกรัม เพื่อเป็นของฝากที่ไม่เหมือนใคร และเป็นของฝากที่น่าประทับใจ” คุณภัทรา กล่าว

 1 ไร่ ปลูกได้ 200 กอ

คุณภัทรา แนะนำการปลูกไผ่บงหวานว่า ควรปลูกระหว่างต้น 2 เมตร ระหว่างแถว 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 200 ต้น ที่เว้นให้ระยะระหว่างแถวให้กว้าง เพื่อให้เกษตรกรเข้าไปทำงานได้สะดวก เช่น นำขี้เถ้าแกลบไปใส่ได้ง่าย

การปลูกไม่ยุ่งยาก ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกเก่า หลังปลูกเสร็จรดน้ำให้ชุ่ม เคล็ดลับในการปลูกไผ่บงหวาน ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนแนะนำให้ปลูกเสมอกับดินเดิม แต่ถ้าปลูกในช่วงฤดูแล้ง ต้องปลูกให้ต่ำกว่าดินเดิม หรือทำเป็นแอ่งกระทะ ระบบน้ำดี จะทำให้หน่อไผ่กอใหญ่และอวบ

หลังปลูกไผ่บงหวานเสร็จต้องหมั่นตัดหญ้า ให้ปุ๋ยคอกและให้น้ำเดือนละ 1 ครั้ง หรือใส่เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรประเภทซังข้าวโพด กากอ้อย เปลือกถั่ว กากยาสูบ ขี้เถ้าแกลบก็ใช้ได้หมด

ข้อปฏิบัติที่ต้องทำเป็นประจำทุกเดือนคือ สางลำไผ่ขนาดเล็กที่แตกมาจากตาหน่อเก่าหรือแตกมาจากตาบนลำไผ่เดิมออก โดยใช้มีดพร้าสับออกเลย เพื่อให้ข้างล่างโล่ง ให้ใบไผ่อยู่ส่วนบนเท่านั้น

ช่วงแรกที่ปลูกไผ่บงหวานใหม่ๆ มักมีหน่อเกิดขึ้นข้างในประมาณ 5-6 หน่อ ให้ขุดหน่อข้างในไปบริโภคหรือขาย ส่วนหน่อที่ออกนอกกอสามารถเก็บขายได้ พอถึงช่วงหน้าฝนต้องปล่อยให้หน่อนอกกอโตเป็นลำไผ

ระบบน้ำดี จะทำให้หน่อไผ่กอใหญ่และอวบ

โดยทั่วไปตลาดต้องการหน่อไม้ไผ่บงหวานขนาด 6-8 หน่อต่อกิโลกรัม ซึ่งมีขนาดเหมาะสมสำหรับซื้อเป็นของฝาก  หน่อไม้ไผ่บงหวาน มีคุณภาพและรสชาติดีที่สุด เมื่อนำมาบริโภคสดๆ และเร็วที่สุด ถ้าปล่อยทิ้งไว้หลายวันความหวานจะลดลงเช่นเดียวกับข้าวโพดหวาน ดังนั้น การเก็บหน่อไม้จะมีการขุดขายกันแบบวันต่อวัน ถึงแม้จะเก็บไว้ในตู้เย็น ความหวานก็จะลดลง แต่จะเก็บไว้บริโภคนานวันควรจะต้มให้สุก แล้วนำมาแช่แข็งจะดีกว่า

เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ปลูกไผ่บงหวานมักจะปลูกแบบฝากเทวดาเลี้ยง น้ำก็ไม่ให้ หญ้าก็ไม่กำจัด ไม่มีการสางกอ แต่ที่สวนไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้งจะมีการจัดการสวนที่ดี และมีการปฏิบัติเป็นประจำทุกเดือน อาทิ ภายในกอจะต้องโล่ง จะต้องขุดหน่อที่อยู่ภายในกอออกมาบริโภคหรือจำหน่าย ในการให้ปุ๋ยกับต้นไผ่บงหวาน จะให้ปุ๋ยเคมีเพียง 10% เท่านั้น ที่เหลือเป็นปุ๋ยคอกทั้งสิ้น ในแต่ละเดือนจะนำปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) อัตรา 10 กิโลกรัม นำมาผสมคลุกเคล้ากับปุ๋ยคอกเก่า อัตรา 90 กิโลกรัม แล้วใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพรดตามลงไป หมักทิ้งไว้ 1 คืน นำไปใส่ให้กับต้นไผ่บงหวาน ต้นละ 5-10 กิโลกรัม

ตันพันธุ์ไผ่บงหวาน ที่จำหน่าย

สิ่งสำคัญในการผลิตไผ่บงหวานนอกฤดูก็คือ การจัดการเรื่องการให้น้ำ ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นมาก

“การให้น้ำจะใช้วิธีการแบบปล่อยน้ำเข้าร่องก็ได้ แต่ก่อนปลูกเกษตรกรจะต้องมีการปรับพื้นที่ปลูกเพื่อให้ไล่ระดับน้ำจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ถ้ามีการติดระบบการให้น้ำอย่างดีและมีประสิทธิภาพ จะมีการวางระบบน้ำแบบแถวเดี่ยวหรือแถวคู่ก็ได้ โดย 1 หัวน้ำ จะได้ 4 ต้น วางให้ห่าง ระยะ 3 เมตร ใช้สปริงเกลอร์หัวสูง” คุณภัทรา กล่าวทิ้งท้าย

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก