“ศรแดง” แชมป์พันธุ์ผัก ลุยตอบโจทย์เกษตรยุค 4.0

โจทย์ใหม่ของรัฐบาลยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คือการก้าวสู่เกษตรยุค ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งต้องมีนวัตกรรมทั้งด้านเทคโนโลยี เครื่องจักรกลการเกษตรที่ทันสมัยตลอดจนองค์ความรู้ของเกษตรกรที่จะต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ในส่วนของธุรกิจเมล็ดพันธุ์ผักนับเป็นส่วนสำคัญของก้าวแรกที่จะผลักดันเกษตรไทยสู่ยุค 4.0 ให้ประสบความสำเร็จ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ในฐานะผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ผักทุกชนิดในไทย และเป็นเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่งที่คาดว่าจะอยู่ในระดับเกือบ 50% หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท จากตลาดรวมในไทย 2,300 ล้านบาท โดยไม่รวมเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดไร่ ซึ่งผู้บริหารจะมาเปิดเผยมุมมองในการตอบสนองนโยบายรัฐบาล

รับมือเกษตรกรลดลง

ครัวเรือนเกษตรกรในไทยปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5.7 ล้านครัวเรือน แนวโน้มในอนาคตมีแต่จะลดน้อยถอยลงทุกปี ไม่ใช่ในประเทศไทยที่เดียวในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งหมดด้วย ความสนใจของคนรุ่นใหม่ที่จะยึดอาชีพเกษตรกรรมจะลดลงไปเรื่อย ๆ แรงงานเกษตรกรรมจะหายากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัญหาของประเทศไทยใน 5-10 ปีข้างหน้า ฉะนั้นรัฐจะต้องหาทางแก้ หากเกษตรกรลดลงไป รัฐต้องหาทางเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น ต้องมีนวัตกรรมใหม่ ๆเข้ามาเพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นต้องหันมาใช้เครื่องจักรกลและเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น และเกษตรกรต้องเพิ่มความรู้มากขึ้น

“ทิศทางในอนาคตเทคโนโลยีต้องเข้ามาช่วยมากขึ้น บริษัทเอกชนต้องพัฒนาผลผลิตให้มากขึ้น เครื่องไม้เครื่องมือต้องช่วยเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น ความรู้ของเกษตรกรด้วย” นายวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ผัก “ศรแดง” กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ”

ไทยเบอร์ 1 ธุรกิจเมล็ดพันธุ์ผัก

ประเทศไทยมีความได้เปรียบเรื่องดินฟ้าอากาศที่ปลูกผักได้ตลอดทั้งปี จึงเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ผักของภูมิภาคนี้ก็ว่าได้ เทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ไทยส่งออกเมล็ดพันธุ์อันดับ 1 ของอาเซียน โดยส่งออก 5,500 ล้านบาท ติดอันดับที่ 21 ของโลก ซึ่งเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวเมื่อนำไปปลูก จะมีมูลค่าผลผลิตสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท

“บริษัทส่งออกเมล็ดพันธุ์ผักไปเวียดนามมากที่สุด รองลงไปเป็น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เมล็ดพันธุ์ที่ส่งออกมากที่สุดเป็น ข้าวโพดไร่ รองลงมาเป็น แตงโม พริก มะเขือเทศ เหตุที่ประเทศไทยเป็นเบอร์ 1 ของการส่งออกเมล็ดพันธุ์ผัก เพราะเกษตรกรมีความรู้ความสามารถก้าวหน้าไปไกลกว่าทุกประเทศอาเซียน แม้ว่าบริษัทจะมีแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ผักทั้งในอินเดีย เมียนมา เวียดนาม”

จับ “คนเมือง” รับไทยแลนด์ 4.0

“ปัจจุบันคนในเมืองจะหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทิศทางของบริษัทเราจะมุ่งไปจับลูกค้าคนเมืองส่วนหนึ่ง โดยยกระดับคนเมืองหันมาบริโภคผักมากขึ้น หันมาปลูกผักกินเอง เพราะการดูแลสุขภาพต้องใส่ใจ เพราะมีข่าวเรื่องผักปนเปื้อนมากขึ้น ถ้าเขาหันมาปลูกผักกินเอง ก็จะรู้ว่าเขาใช้ปุ๋ยใช้ยาอย่างไร ใช้ในอัตราที่เหมาะสมไม่มากเกินไป เราจึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อว่า “Go Grow” ตั้งใจเจาะตลาดที่ไม่ใช่เกษตรกรมืออาชีพรวมคนเมืองด้วย เราตั้งใจเจาะชัดเจน คือเขาไม่ใช่เกษตรกรมืออาชีพ ไม่มีความรู้ในการปลูกผัก เราจึงมีคำแนะนำบนฉลากว่า มีวิธีการปลูกอย่างไร มือใหม่เขาจะได้มีความมั่นใจมากขึ้น สินค้ากลุ่มนี้จึงตอบโจทย์คนเมืองและเกษตรกรที่ไม่ใช่มืออาชีพ นี่คือการตอบโจทย์การทำเกษตรในยุค 4.0

อีกตัวหนึ่งก็คือจากโจทย์ที่ว่า หากต้องการเพิ่มผลผลิต เกษตรกรต้องมีความรู้ในการปลูกผัก เราจึงมีทีมงานถ่ายทอดความรู้อยู่ในพื้นที่ว่า ควรปลูกอย่างไรให้ผลผลิตที่ดี ที่สำคัญคือเราต้องทำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยใช้ยาในอัตราที่เหมาะสม เพื่อลดต้นทุนและลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และการที่มีดิจิทัล อินเทอร์เน็ตเข้ามา ที่มีการใช้สมาร์ทโฟน

ตัวสินค้าที่เราขายก็มี QR Code เกษตรกรก็สแกนดูจากสมาร์ทโฟนถึงเรื่องโรคพืช และมีเว็บไซต์ให้ติดต่อเข้ามาบริษัทเราได้มากขึ้นด้วย เป็นการตอบโจทย์เกษตรยุค 4.0 ที่เทคโนโลยีเรื่องอินเทอร์เน็ตจะมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราแล้ว ไม่ใช่ปัจจัยการผลิตอย่างเดียว” นายวิชัยกล่าว

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์