อะไรคือประเทศไทย 4.0

ทุกวันนี้ไม่ว่าจะอ่าน จะฟัง หรือจะดู สื่อมวลชนทุกชนิดก็ล้วนแต่พูดถึง 4.0 กันทั้งนั้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีมาถึงขอทานที่ข้างถนน ถ้าใครไม่เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงใน 4.0 ก็จะเป็นคนเชย ไม่ทันสมัย ถ้าเป็นข้าราชการก็อาจจะสอบเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าตนอยู่ตรงไหนของไทยแลนด์ 4.0 และ 4.0 จริง ๆ คืออะไร

สำหรับคนเดินดินกินอาหารข้างถนน ที่รัฐบาลเขาจัดระเบียบสังคมหมดไปแล้ว ถ้าจะหารับประทานต้องไปที่ตรงไหนก็ไม่ทราบ ที่ถนนสุขุมวิทกับถนนข้าวสาร มิฉะนั้นก็ต้องเข้าไปรับประทานในร้านห้องแถว ซึ่งเมื่อก่อนถูกหาบเร่แผงลอยกั้นเอาไว้ขายของ เพื่อซื้อกลับไปรับประทานที่บ้าน แต่ถ้าจะรับประทานอาหารข้างถนนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาหารข้างถนนที่ดีที่สุดในโลก ก็ต้องเดินฝ่าเข้าไปนั่งในร้านห้องแถว ที่พนักงานแจกจานเหมือนกับแจกไพ่ ที่คนไม่สังเกตก็คือ น้ำล้างจานใช้น้ำเพียงถังสองถัง ถังหนึ่งเป็นน้ำยาล้างจาน อีกถังหนึ่งเป็นน้ำเปล่า ล้างสองถังแล้วใช้ผ้าเช็ดเล็กน้อยเป็นอันใช้ได้ ต่อไปจะทำอย่างนี้ไม่ได้เพราะเราจะเป็นไทยแลนด์ 4.0 กันแล้ว

เถ้าแก่เจ้าของร้านเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่คนจีนเสียแล้ว กลายเป็นคนอีสาน โดยมีลูกน้องเป็นคนพม่า เขมร หรือลาวเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนใหญ่คนขายบะหมี่ที่มีไม้เคาะเก๊าะ ๆ ถีบซาเล้งขายตามซอย ถามดูแล้วเป็นชาวพม่า เชื้อสายไทยใหญ่เสียส่วนใหญ่ แม่ค้าแม่ขายในตลาดสดก็เป็นไทยใหญ่เสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนพวกที่เป็นเชื้อสายมอญ นิยมอยู่ที่ชุมพร นครและปักษ์ใต้ ส่วนพวกพม่านิยมเป็นแรงงาน ทำงานในโรงงาน อยู่ข้างนอกไม่ได้ จะโดนพวกไทยใหญ่กับพวกมอญตีเอา ต้องอยู่ที่มีกันแต่พม่า ผสมกับพวกอื่นไม่ได้

สำหรับแรงงานไทยระดับล่างมีสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว แต่สำหรับตลาดแรงงานระดับกลาง อันได้แก่ ภาคสินค้าเกษตรกรรม ซึ่งบัดนี้คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนฐานะเป็นนายทุนเกษตรกรเสียแล้ว เพราะตัวเองเรียนสูงและนิยมเข้าเมืองไปรับราชการ หรือไม่ก็ทำการค้าขายเป็นพ่อค้ารายเล็กแทนพ่อค้าคนจีน ซึ่งได้เลื่อนฐานะเป็นพ่อค้ารายใหญ่ไปแล้ว

แรงงานในภาคเกษตรก็เป็นเกษตรกรที่มีความรู้ ส่วนมากก็เลื่อนมาเป็นผู้จ้างแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว เขมร และมอญในกรณีภาคใต้ มาทำงานในไร่นาและสวนยางแทน เพราะเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ได้กลายเป็นผู้มีรายได้ปานกลางไปแล้ว ชาวนารุ่นที่ยังทำนาทำไร่ก็มีอายุเกิน 70 ปีขึ้นไป ไม่สามารถใช้แรงงานในการทำนาได้ ต้องใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็จ้างคนอื่นไถหว่าน เกี่ยวและสีทั้งหมด

การจะเลื่อนฐานะจากประเทศไปเป็นประเทศไทย 4.0 ซึ่งแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ โดยที่รัฐบาลเอาภาษีอากรไปอุดหนุนภาคเกษตรที่ล้าหลัง ใช้แรงงานทำงานถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีของแรงงานทั้งหมด แต่ผลิตเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวม แทนที่จะยอมให้ชาวนาออกจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอื่นที่ขาดแคลนแรงงาน ต้องนำแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมาทำงาน เอาเหตุผลการถูกเอารัดเอาเปรียบของแรงงานจำนวนน้อยที่เป็นข้อยกเว้นมาเป็นเหตุผลทั้งหมด

สินเชื่อนอกระบบซึ่งไม่มีใครทราบว่ามีมากน้อยเพียงใด ซึ่งน่าจะเป็นข้อยกเว้น เพราะสินเชื่อครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อในระบบ ระบบสินเชื่อเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรของประเทศไทย กองทุนหมู่บ้านและกองทุนอื่นๆ อีกหลากหลายที่ลงไปช่วยชาวนาในชนบท ได้รับการยกย่องโดยองค์การอาหารและการเกษตร หรือ FAO ว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในโลก ชนบทของเราก็น่าจะเป็นชนบท 4.0 ไปแล้ว

สำหรับภาคบริการซึ่งได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง การขนส่ง การสื่อสาร การธนาคาร การเงิน ธุรกิจนายหน้า ซึ่งมีสัดส่วนทั้งผลิตภัณฑ์และการจ้างงานมากที่สุด กล่าวคือกว่าร้อยละ 50 อยู่ในภาคบริการนี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เรือกสวนไร่นา โดยรถมอเตอร์ไซค์ รถตุ๊กตุ๊ก รถปิกอัพ รถ 6 ล้อ รถ 10 ล้อ รถลากคอนเทนเนอร์ มีทุกระดับ สุดแล้วแต่อะไรจะสะดวก อะไรมีต้นทุนเฉลี่ยถูกที่สุด เพราะทำได้ทุกอย่าง เป็นรถนั่งสำหรับครอบครัวด้วย รวมทั้งเป็นเครื่องเชิดหน้าชูตาแสดงฐานะของครัวเรือน (status symbol) ด้วย และเมื่อเวลาผ่านไปเศรษฐกิจเจริญขึ้น เครื่องใช้อุปโภคบริโภคก็เลื่อนขึ้นด้วยตามลำดับ จนถึงอาคารชุดราคาแพงๆ

สำหรับเรื่อง 4.0 ซึ่งมีอยู่ประเทศเดียวในโลกที่ใช้คำนี้ ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร ฟังๆ ดูคงจะหมายถึงการใช้เครื่องไม้เครื่องมือสมัยใหม่ในภาคบันเทิงและสื่อสาร อาจจะบางส่วนในโรงงานอุตสาหกรรม สมัยใหม่ซึ่งเมื่อก่อนเราเรียกระบบอัตโนมัติ หรือเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ ที่ทนความร้อนความเย็นที่ไม่มีออกซิเจนได้ ซึ่งสมัยนี้สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำงานแทนมนุษย์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ทุกวันนี้ใครจะอ่านข่าว ดูภาพยนตร์ อ่านนวนิยาย เขียนหนังสือ ก็ไม่ใช้กระดาษกันแล้ว แค่เปิดดูทางจอโทรศัพท์แสนรู้ หรือ smartphone เครื่องมือเครื่องใช้ทุกอย่างเป็นเครื่องมือแสนรู้ รวมทั้งกุญแจบ้าน กุญแจรถยนต์ หม้อข้าวหม้อแกงก็แสนรู้ไปหมด คนไม่ต้องทำอะไร แม้แต่เงินก็เป็นเงินดิจิทัลหรือบิตคอยน์

เคยไปลอกเปลี่ยนกระจกตาที่ขุ่นฝ้าเพราะอายุ แพทย์ทำการตรวจและพูดคุยกับคนไข้ แล้ววางแผนทำการลอกด้วยเครื่อง เจาะเข้าไปในลูกตาแล้วสอดใส่แคปซูลแล้วดึงกระตุกให้แผ่ออกเป็นเลนส์เทียม โดยหมอคอยนั่งดูว่าเครื่องคอมพิวเตอร์สั่งงานถูกต้องหรือไม่เท่านั้น นอกนั้นไม่ต้องทำอะไรแต่ความจริงแล้ว คอมพิวเตอร์จะทำงานได้ เครื่องไม้เครื่องมือจะทำงานได้ ก็ต้องอาศัยมนุษย์คอยสั่งงานทั้งก่อนระหว่างและหลังคอมพิวเตอร์ดิจิทัลจะทำงานทั้งนั้น เพียงแต่วิธีทำงานจะแตกต่างออกไป พนักงานต้องได้รับการศึกษาอบรมก่อน

การศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานจะช่วยให้การฝึกอบรมเร็วขึ้น แต่ก็ไม่ใช่จะฝึกอบรมไม่ได้ คนไทยจะออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นประโยคไม่ได้ แต่จะออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นคำๆ โดยเปลี่ยนให้เป็นคำไทยๆ ฟังกันออกเฉพาะคนไทย คนชาติอื่นจะฟังไม่ออกก็พอไปกันได้ เคยใช้แขกจากบังคาลอร์กว่า 20 คน มาทำงานเมื่อตอนเปิดโรงงาน หลังจากนั้น 6 เดือนคนไทยทำแทนได้หมด และถ่ายทอดกันมาเรื่อย ๆ กว่า 20 ปีแล้วก็ยังใช้ได้

ดังนั้นโครงการดิจิทัล หรือจะเรียก 4.0 นั้น รัฐบาลไม่มีทางตามเขาทันหรอก เสียเงินเสียงบประมาณเปล่า ๆ เพียงแต่อย่าไปขัดขวาง ปล่อยให้เขาทำเสรี ใครทำผิดก็ค่อยติดตามนำมาลงโทษ กล่าวคือไม่ควร pre audit ควรเป็น post audit ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ป้องกันไม่ได้หรอก มาตรการป้องกันนั้นเองจะเป็นมาตรการกีดกันขัดขวางความก้าวหน้าในการค้นคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ การป้องกันขัดขวางการรั่วไหลของข้อมูลข่าวสาร ถ้าไม่อยากให้มีการเสนอข่าวก็มีวิธีเดียวคือการไม่มีข่าว การไม่ให้มีควันก็อย่าจุดไฟ การไม่อยากให้มีศพช้าง ก็ไม่ควรฆ่าช้างเท่านั้นเอง

ถ้าไทยแลนด์ 4.0 คือการต่อยอดสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วในทุก ๆ ด้าน ทั้งในด้านการประยุกต์ การสื่อสารโทรคมนาคม การเก็บข้อมูล การใช้ข้อมูล รวมทั้งบริการการเงินการธนาคาร การอุตสาหกรรม การเกษตรและอื่น ๆ จะถือว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทำให้ภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็ต้องปฏิวัติตามไปด้วย ก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมดา เหมือนกับยุคโชติช่วงชัชวาลก็ทำการโฆษณากันยกใหญ่ เพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ แต่ไม่เรียกว่ายุค 4.0 อย่างในปัจจุบัน เพราะเกิดการค้นพบแหล่งธรรมชาติในอ่าวไทย อันเป็นรากฐานของการเกิดนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯฉบับที่ 5 ในด้านหนึ่งเป็นแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจโดยเปลี่ยนจากเป้าหมายหลักที่เป็น “คน” ให้เป็นพื้นที่ โดยกระทรวงหลักคือ มหาดไทย สาธารณสุข พาณิชย์ และกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งก็ได้รับผลสำเร็จอย่างดียิ่ง

อีกด้านหนึ่งเป็นแผนพัฒนาพื้นที่แถบชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก หรือที่เรียกว่า Eastern Seaboard โดยการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง คือ ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง สำหรับเรือขนาด 20,000 ตัน และนิคมอุตสาหกรรมเบาที่ไม่มีปัญหามลพิษ ที่ประชาชนไม่มีความเคลือบแคลงสงสัย กับท่าเรือน้ำลึกเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมปุ๋ยแห่งชาติหลังจากนั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใหญ่ ๆ ก็หยุดนิ่งเพราะปัญหาการเมือง มีแต่การพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ขนาดกลางและขนาดย่อม และสืบต่อโครงการต่าง ๆ เรื่อยมา สนามบินสุวรรณภูมิที่พูดกันมานานก็เกิดจากการตัดสินใจของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ส่วนการตัดสินใจใช้สนามบินดอนเมือง ก็เกิดขึ้นสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การตัดสินใจพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 2 ก็คงจะเกิดขึ้นในยุครัฐบาลทหารนี้

ส่วนการขยายตัวของอุตสาหกรรมจากพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออก ที่ขยับสูงขึ้นมาที่ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ปราจีนบุรีก็กำลังเกิดขึ้น รัฐบาลเพียงแต่ขยายทางหลวง 304 ขยายทางเพิ่มขึ้น จัดหาแหล่งน้ำอุตสาหกรรม สนับสนุนนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งก็เกิดขึ้นแล้วตามความต้องการของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องไปตั้งนิคมที่ชายแดนลาว พม่า หรือที่อื่น ๆ เพราะจะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าจะเกิดคงเกิดขึ้นไปแล้วเรื่องที่เมืองไทยเรียก 4.0 หรือดิจิทัล ก็คงต้องเกิดขึ้นเอง ถ้ารัฐบาลไม่ขัดขวาง เพราะกลัวประชาชน ไม่ไว้ใจประชาชน เพราะไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนมันก็แค่นั้นเอง

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์