สบโขง กลยุทธ์หยุดหมอกควัน ปลอดการเผาพื้นที่สูง ด้วยหลักการโครงการหลวง

ภาพรวมจุดความร้อนในพื้นที่ดำเนินการโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง 8 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย, เชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน, ตาก, น่าน, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, กาญจนบุรี, รวมจำนวนพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่สูงฯทั้งหมด 44 โครงการ พบจุดความร้อนปี 2565 ช่วงเดือนมกราคา-พฤษภาคม ใน 8 จังหวัด พบเพียง 951 จุด ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่พบ 2,187 จุด ซึ่งตามสถิติถือว่าลดลงอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งจากผลการดำเนินงานการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงสบโขง ตำบลสบโขง อำเภอออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ที่เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อเกษตรกรและพื้นที่อย่างชัดเจน ที่สามารถเป็นตัวอย่างในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ด้วยหลักการโครงการหลวง นับตั้งแต่ปี 2547 ทำให้เกษตรกรในโครงการฯ จำนวน 113 ครัวเรือน ใช้พื้นที่ทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนลดลง 1,574.99 ไร่ ไม่พบจุดความร้อน (hotspot) ติดต่อกัน

ทั้งนี้ จะเห็นว่าในพื้นที่เกษตร อำเภอออมก๋อย พบจุดความร้อน 819 จุด และบ้านบูแหมะ ในพื้นที่โครงการฯสบโขง ไม่มีจุดความร้อนตั้งแต่ 15 มกราคม-30 มิถุนายน 2564 ในพื้นที่บ้านบูแหมะทั้งหมด 2,800 ไร่ และยังได้รับรางวัลหมู่บ้านปลอดการเผา (Haze Free Reward) ในปี 2564 จากบริษัทเชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม โดยได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 50,000 บาท อีกด้วย ส่งผลให้พื้นที่ในโครงการฯ มีการพัฒนาที่ยั่งยืน เข้มแข็ง ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

นายเดชธพล กล่อมจอหอ หัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง กลุ่ม 4 สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. กล่าวว่า ผลการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงสบโขง เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อเกษตรกรและพื้นที่ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม ที่พื้นที่ตำบลสบโขง เป็นชุมชนต้นแบบ เกษตรกรสามารถลดพื้นที่ทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจาก 5,574.65 ไร่ เหลือเพียง 3,999.66 ไร่ (ลดลงร้อยละ 28.25) มีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นจำนวน 428.45 ไร่

ด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 113 ครัวเรือน มีรายได้จากอาชีพทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จาก 101,005 บาท/ปี/ครัวเรือน (จปฐ.2560) เพิ่มขึ้นเป็น 154,486.36 บาท/ปี/ครัวเรือน (จปฐ. 2564) ภาพรวมกว่า 61,334.132 บาท, การผลิตภายใต้มาตรฐานอาหารปลอดภัย โดยมีเกษตกรได้รับรองจากกรมวิชาการเกษตร จำนวน 55 ราย 44.75 ไร่ 7 ชนิด พืชส่งผลดีต่อสุขภาพของทั้งเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยผลผลิตในพื้นที่โครงการฯมีการจำหน่ายให้กับโรงเรียนและผู้บริโภค ด้านสังคม สวพส. ส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยการพัฒนาเกษตรกรผู้นำและปัจจุบันมีผู้นำเกษตรกรจำนวน 19 คน และผู้นำเยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวน 6 คน ที่มีความเข้มแข็งเป็นที่ยอมรับ สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน

ความสำเร็จของโครงการหลวงสบโขง ที่เห็นผลชัดเจน คือ ชาวบ้านมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ทำให้ไม่มีการขยายพื้นที่ทำการเกษตรบุกรุกพื้นที่ป่า การหมุนเวียนการใช้ประโยชน์พื้นที่ลดลง หลีกเลี่ยงหรือไม่เผาพื้นที่ทำการเกษตร, มีการนำข้อมูลสถิติผู้ที่ได้รับผลกระทบ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจในพื้นที่ของโครงการ สร้างแรงจูงใจหรือหาแนวทางลดสาเหตุของการป่วยที่เกิดจากปัญหาหมอกควันในพื้นที่, การใช้เครื่องมือแผนที่ดินรายแปลงมาวิเคราะห์ร่วมกับการเกิดจุดความร้อน (Hot spot) เพื่อแยกพื้นที่ป่าและพื้นที่การทำเกษตรให้ชัดเจน ขณะเดียวกันก็พูดคุยกับชาวบ้านเรื่องการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับมาตรการที่ภาครัฐกำหนดควบคุมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้นำเกษตรกรรุ่นใหม่ มีความสนใจ ตระหนักถึงความสำคัญในการปรับเปลี่ยนทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้องค์ความรู้จากโครงการหลวง

นายสุเชาว์ นายหว่าง หัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงสบโขง กล่าวว่า สวพส.เริ่มดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่สูงตามแบบโครงการหลวงสบโขง ตั้งแต่ปี 2547 พื้นที่ดำเนินงานจำนวน 6 กลุ่ม บ้านอยู่ใน ตำบลสบโขง อำเภอออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ประชากรเป็นชนเผ่ากระเหรี่ยง จำนวน 523 ครัวเรือน 2,499 คน ส่วนใหญ่ร้อยละ 98 มีอาชีพเกษตรกรรมทำไร่หมุนเวียน พืชหลัก คือ ข้าวไร่ ข้าวนา กะหล่ำปลี และมะเขือเทศ ซึ่งมีราคาไม่แน่นอน และต้องบุกรุกถาง เผาป่า ส่วนร้อยละ 2 มีอาชีพอื่นๆ  เช่น รับจ้าง งานหัตกรรม ค้าขาย และหาของป่า พื้นที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งป่ามีสภาพถูกทำลาย สวพส.ได้เข้าดำเนินงานเพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างรายได้ที่มากกว่าการทำไร่หมุนเวียน ลดการใช้สารเคมี รวมทั้งมีการส่งเสริมปลูกมะเขือเทศในโรงเรือน ด้วยองค์ความรู้แบบโครงการหลวง ทำให้ในปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าโครงการปลูกพืชโรงเรือนจำนวน 21 ราย โดย สวพส.ให้ทั้งคำปรึกษา ติดตามผลผลิต ควบคุมการใช้สารเคมีให้ลดน้อยที่สุด ก่อนส่งผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด  ซึ่งเกษตรกรมีรายได้ต่อครัวเรือนเฉลี่ยกว่า 1 แสนบาท ต่อปี อย่างไรก็ตาม ปัญหาและอุปสรรคย่อมมีบ้างในเรื่องของการแข่งขันกับพืชเศรษฐกิจตัวอื่นๆ ในพื้นที่ ขณะเดียวกันทางสวพส.มีการนำพืชใหม่ๆ เข้าไปส่งเสริมเพิ่มเติม เช่น กาแฟ และอะโวกาโด

นายสมชาย นพรัตน์พงษ์ไพร ผู้ใหญ่บ้านแม่หลองน้อย หมู่ที่ 2 ตำบลแม่หลอง อำเภอออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัญหาไฟป่าในพื้นที่ไม่ค่อยมีแล้ว เพราะมีการตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านขึ้นมาบริหาร มีการลาดตระเวนตรวจตราในพื้นที่สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือ 4-5 วัน ต่อครั้ง

นายสมหวัง เสริมมติวงศ์ เกษตรกร ตำบลสบโขง อำเภอออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ทำเกษตรบนพื้นที่สูงล้มเหลวบ้าง ดีบ้าง เป็นอย่างนี้มาตลอด ปลูกพืชมาหลายชนิด แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนกระทั่งมาทำการเกษตรแบบโรงเรือนจากคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สวพส.ที่ให้ใช้พื้นที่น้อยแต่ได้ผลผลิตมากกว่าในแนวของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสามารถปลดหนี้สินที่มีอยู่ได้ แม่จะไม่ร่ำรวยมากแต่ถือว่าอยู่ได้แบบไม่ลำบาก และยังทำให้มีเวลามากพอที่จะไปทำกิจกรรมร่วมกับเจ้าหน้าที่ เช่น การทำแนวกันไฟ

นายพะสู สมานเกริกไกร เกษตรกร บ้านแม่หลองน้อย ตำบลสบโขง อำเภอออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ดั้งเดิมทำไร่ทั่วไป ได้ผลผลิตบ้างไม่ได้บ้างในบางปี ต่อมาได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่บ้านให้ทำเกษตรแบบโรงเรือนแบบโครงการหลวงเพราะให้ผลผลิตดีกว่าทำเกษตรแบบเดิม ซึ่งปีแรกที่เข้าโครงการทำให้มีรายได้อย่างพอเพียงแม้จะไม่มากแต่ก็ถือว่าคุ้มค่า คือจากที่เคยเป็นหนี้ สามารถปลดหนี้ได้ และทำให้ได้บ้านและมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ตามมา และมีเวลาอยู่กับครอบครัว บุกรุกป่าน้อยลง