ไม้ตัดดอกเมืองร้อน พืชทำเงิน ลงทุนปลูกครั้งเดียว เก็บขายได้ตลอด

ประเทศไทย มีศักยภาพในการผลิตไม้ดอกเมืองร้อน เพราะสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร นอกจากนี้ ไม้ดอกเมืองร้อนมีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูง สามารถสลับสับเปลี่ยนให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ที่สำคัญลงทุนปลูกครั้งเดียวเก็บขายได้ตลอด หากใครยังมีพื้นที่ว่าง อยากชวนมาปลูกไม้ตัดดอกเมืองร้อนขายทำเงินกันดีกว่า

คุณประเสริฐ ลมพัด กับ เฮลิโคเนีย รอสตราต้า หรือสร้อยกัทลี

“ไม้ตัดดอกเมืองร้อน” มีหลากสีสัน สวยงาม โดดเด่น ได้แก่ เฮลิโคเนีย (ธรรมรักษา) ขิงแดง ขิงชมพู กล้วยประดับ ดาหลา งาช้าง ลิ้นมังกร ดอกกะทือ ฯลฯ ที่ปลูกง่ายขายดี เป็นที่นิยมทั้งในประเทศและส่งออก ยืนยันโดย คุณประเสริฐ ลมพัด ประธานกลุ่มไม้ตัดดอกเขตร้อนกาญจนบุรี ตำบลท่าคร้อ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ที่ยึดอาชีพปลูกไม้ตัดดอกมาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี

 

เฮลิโคเนีย สินค้าขายดี

เฮลิโคเนีย เป็นสินค้าที่ขายดีมาตลอด เพราะมีดอกสุดสวย หลากหลายสีสัน มีทั้งชนิดดอกเล็ก ดอกใหญ่ ช่อตั้ง ช่อห้อย ที่ผ่านมามีการนำเข้าสายพันธุ์เฮลิโคเนียจากต่างประเทศเข้ามาปลูกในเมืองไทยจำนวนมาก โดยขนาดดอกเล็ก นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ส่วนดอกขนาดใหญ่ทั้งช่อตั้งและช่อห้อยย้อย นิยมปลูกเชิงการค้าในลักษณะไม้ตัดดอก

ไม้ตัดดอกเมืองร้อน เป็นพืชทำเงินที่ปลูกดูแลง่าย ลงทุนปลูกเพียงครั้งเดียว เก็บดอกขายได้นาน สำหรับแปลงใหม่ ปลูกใหม่ใช้เวลา 18-24 เดือน ก็เริ่มเก็บผลผลิตขายได้ ใช้ต้นทุนไม่มาก แค่ดูแลใส่ปุ๋ยช่วงเริ่มปลูกครั้งแรก ใช้ยูเรียเร่งหน่อสัก 2 ครั้ง และใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 พอต้นโตให้ดอก ก็หยุดใส่ปุ๋ย ดูแลให้น้ำเป็นหลัก หากขาดน้ำ จะทำให้ผลผลิตลดลง เฮลิโคเนียต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดี แถมขยายพันธุ์ได้ค่อนข้างเร็ว

คาวายูชิ

สายพันธุ์เฮลิโคเนียที่ได้รับความนิยมปลูกเชิงการค้ามากที่สุด ได้แก่  “บิ๊กบัด” ช่อตั้ง และช่อห้อยย้อย อย่าง “เซ็กซี่พิงค์” นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์แกนนี่สมิท เทมเพรส อิมพีเรียล ออเร้นฮาร์ท ไจแอนท์ชี พิชชี่พิงค์ ราสป์เบอร์รี่ ฯลฯ ซึ่งไม้ดอกเหล่านี้มีสีสันสวยงาม สะดุดตา ที่สำคัญมีอายุการใช้งานนาน 7 วัน นิยมใช้ประดับตกแต่งในงานแต่ง งานบวช งานศพ ฯลฯ ทำให้เฮลิโคเนียอยู่ในกลุ่มสินค้าขายดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

“จากสถานการณ์โควิดทำให้ตลาดไม้ดอกไม้ประดับได้รับผลกระทบตามไปด้วย แต่สินค้าไม้ตัดดอกเมืองร้อนยังคงขายได้ โดยเฉพาะไม้ตัดดอกคุณภาพดี ขณะนี้ตลาดเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ มียอดสั่งซื้อทยอยเข้ามาต่อเนื่องทั้งกลุ่มไม้ตัดดอก และต้นกล้าพันธุ์ไม้สำหรับเกษตรกรที่สนใจปลูกไม้ตัดดอกเชิงการค้า และผู้ที่สนใจปลูกไม้ดอกเมืองร้อนเป็นไม้ประดับสวน ผมมองว่า ธุรกิจไม้เมืองร้อนยังเติบโตได้ตลอดเวลา ผมวางแผนพัฒนาต่อยอดสวนแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการปลูกไม้ดอกเมืองร้อน และเป็นสวนเกษตรเพื่อการท่องเที่ยวในอนาคต” คุณประเสริฐ กล่าว

ไพรชมพู ช่วงแรกมีสีเหลือง เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีชมพู

 

“กะทือ” ดอกสวย สีสดใส

กะทือ จัดอยู่ในพืชวงศ์ขิง ข่า เป็นไม้ล้มลุกฤดูแล้งจะลงหัว เมื่อถึงฤดูฝนก็จะงอกขึ้นมาใหม่ กะทือ เป็นพืชเมืองร้อนที่มีสีสันสวยงาม สะดุดตา รูปทรงแปลก และดอกบานนาน สามารถปลูกเป็นไม้ตัดดอกได้เช่นเดียวกับ ขิงประดับ กระเจียว หงส์เหิน ธรรมรักษา และบัวเข็ม

ชมพูทิงเจอร์

คุณประเสริฐ บอกว่า กะทือ เหมาะสำหรับนำเอาดอกมาปักแจกันเป็นไม้ประดับสวยงาม เพราะดอกกะทือมีสีสันสดใส ดอกอยู่ทนทานไม่เหี่ยวง่าย ตัดดอกมาแช่น้ำประดับในแจกัน ใช้งานนาน 7-10 วัน สามารถนำส่วนดอกและเหง้ามารับประทานเป็นผัก หรือกินแกล้มกับน้ำพริก ช่วยขับลม ช่วยย่อยได้เป็นอย่างดี ผมรวบรวมสายพันธุ์กะทือจากทั่วประเทศมาปลูกขยายพันธุ์แล้วกว่า 20 สายพันธุ์ เช่น กะทือดำ, ขิงแมงดา ที่มีลักษณะทรงต้นใบก้านคล้ายต้นขิง แต่มีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นแมงดานาตัวผู้, ไพรชมพู จุดเด่นสำคัญคือ ช่วงดอกอ่อน มีสีเหลือง พอดอกแก่เปลี่ยนเป็นสีชมพู เหมาะสำหรับประดับตกแต่งแจกันขนาดเล็กบนโต๊ะรับแขก ปัจจุบัน คุณประเสริฐขายกะทือแบบตัดดอก ในราคาดอกละ 10-25 บาท ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์และสี

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมพื้นที่ปลูกกะทือ คือ ดินเหนียวปนทรายที่มีอินทรียวัตถุ มีการระบายน้ำดี ปลูกได้ทั้งที่แจ้งและที่ร่มรำไร เมื่อเข้าสู่สภาวะฝนทิ้งช่วง แห้งแล้ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนพฤษภาคม ต้นกะทือที่อยู่บนดินแห้งเหี่ยวไป เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนต้นกะทือเริ่มมีการแตกหน่อใหม่ขึ้นมา หลังจากนั้นก็เริ่มมีการแทงช่อดอกตามขึ้นมา จำนวนดอกตั้งแต่ 2-7 ดอก ต่อกอ กะทือออกดอกเป็นช่อแทงออกมาจากเหง้าขึ้นมา ลักษณะของช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก มีใบประดับขนาดใหญ่เรียงซ้อนกันหนาแน่นและเป็นระเบียบ โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ดอกจะบานไม่พร้อมกัน

ขิงแมงดา

โดยธรรมชาติของต้นกะทือ เมื่อเข้าถึงช่วงฤดูฝน กะทือเริ่มแตกหน่อ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก็ตัดดอกขายได้ โดยทั่วไป กะทือ 1 กอ มีอายุเก็บเกี่ยว 3 เดือน โดยทยอยออกดอกให้เก็บมากถึงรุ่นละ 20-30 ดอก กะทือขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อเป็นหลัก สามารถขุดแยกเหง้าหรือหน่อออกจากเหง้าแม่ นำไปปลูกลงแปลงใหม่ได้ โดยแนะนำให้ใช้หน่อแก่ มีลำต้นติดมาด้วย ใส่ปุ๋ยรองพื้นก่อนปลูก ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15  ครั้งละ 1 กำมือ ใส่บริเวณโคนกอเพื่อบำรุงต้น เมื่อกะทือมีดอกเล็ก ใส่ปุ๋ยครั้งที่สอง เพื่อบำรุงดอก

ไจแอนชี

 

กล้วยประดับ “กล้วยรุ่งอรุณ”

นอกจาก เฮลิโคเนีย ดาหลา ขิงประดับ แล้ว คุณประเสริฐ ยังพาไปชมกล้วยประดับที่ได้รับความสนใจจากตลาดคือ  กล้วยรุ่งอรุณ ที่มีสีสันสดใส เจริญเติบโตได้ดีทั้งในร่มและกลางแจ้ง จึงนิยมปลูกเป็นไม้ประดับและปลูกในกระถาง นอกจากนี้ นิยมตัดดอกมาปักแจกัน เพราะอยู่ได้นาน 10-15 วันทีเดียว

คุณประเสริฐ กับดอกดาหลา
กล้วยประดับ “รุ่งอรุณ” กินได้ รสเปรี้ยวมาก

กล้วยรุ่งอรุณ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Musa velutina Wendi. &Drude” อยู่ในวงศ์ Musaceae มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางแคว้นอัสสัมของประเทศอินเดีย ต้นกล้วยรุ่งอรุณ เป็นต้นกล้วยขนาดเล็ก แตกเป็นกอ สูงประมาณ 1.5-2 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร กาบลำต้นมีสีเขียวอ่อน ใบ เป็นใบเดี่ยว รูปขอบขนานเรียวยาว กาบใบมีความยาว 1-1.5 เมตร ด้านใต้ใบมีสีเขียวเข้มกว่าด้านบน เส้นกลางใบมีสีเขียวอมชมพู ออกดอก หรือปลีเป็นช่อที่ปลายยอด ปลีกล้วยมีสีชมพูอมม่วง ตั้งตรง ส่วนก้านช่อดอกและช่อดอก มีสีชมพูสด หรือชมพูอมแดง ผลของกล้วยรุ่งอรุณนี้รับประทานได้ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะมีเมล็ดและมีรสเปรี้ยวมากนั่นเอง


สำหรับแฟนๆ นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน หากต้องการนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านรายปักษ์ ส่งตรงถึงบ้าน รวดเร็วทันใจอ่านได้ในทุกๆ 15 วัน สามารถสมัครสมาชิกได้ที่ คลิกลิ้ง https://shorturl.asia/0zJwQ 📲- Line: @matichonbook หรือ สำนักพิมพ์มติชน เลขที่ 12 ถนนเทศบาลนฤมาล หมู่บ้านประชานิเวศน์ 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 ติดต่อฝ่ายขาย 02-589-0020 ต่อ 3354