มูลนิธิเอสซีจี สร้างอาคารเรียนหลังที่ 37 มอบโอกาสทางการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนไทย

เพราะมีเยาวชนส่วนหนึ่งในประเทศที่ยังไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม เนื่องจากโรงเรียนขาดแคลนทุนทรัพย์ในการสร้างหรือปรับปรุงอาคารเรียน รวมทั้งสิ่งก่อสร้างสำคัญอย่างห้องน้ำ ตลอดจนการจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยและเหมาะสมต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ มูลนิธิเอสซีจี” องค์กรสาธารณกุศลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเน้นที่เด็กและเยาวชน จึงได้ดำเนิน โครงการค่ายอาสา โดยมูลนิธิเอสซีจี” ร่วมกับ “ชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจี” มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ ด้วยความตั้งใจที่จะปลูกฝังให้พนักงานเอสซีจีได้มีจิตอาสา ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในด้านต่างๆ รวมถึงมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและตอบแทนสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคมจนกลายเป็น DNA ของชาวเอสซีจีทุกคน โดยเสียสละวันหยุดพักผ่อนประจำปีเพื่อเป็นอาสาสมัครร่วมเดินทางกับมูลนิธิเอสซีจีไปก่อสร้างอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนอาคารเรียน ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเอสซีจี และการสนับสนุนวัสดุก่อสร้างจากบริษัทในเครือเอสซีจี

เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาให้เด็กๆ ได้มีสถานที่เรียนรู้ที่พอเพียงมากยิ่งขึ้น ในปี 2560 มูลนิธิฯ จึงได้ออกค่ายอาสาก่อสร้างอาคารเรียนหลังที่ 37 ณ โรงเรียนวัดตาขัน ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดกลางที่เปิดสอนในระดับชั้นประถมศึกษา มีจำนวนนักเรียนชายหญิงรวม 158 คน แต่กลับมีอาคารเรียนเพียง 2 หลัง หลังหนึ่งเป็นอาคารไม้ 2 ชั้นอยู่ในสภาพทรุดโทรม ส่วนอีกหลังหนึ่งเป็นอาคารชั้นเดียวที่สร้างขึ้นด้วยทุนทรัพย์ของคนในชุมชน จึงไม่เพียงพอต่อการจัดกิจกรรมและการจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กๆ มูลนิธิเอสซีจีและชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจี จึงได้ร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ มุ่งหวังให้เป็นแหล่งศึกษาเล่าเรียนและพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษา ทั้งยังสร้างห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ พร้อมอ่างล้างมือด้านนอกเพื่อสุขอนามัยที่ดี รวมมูลค่าทั้งสิ้น 6,000,000 บาท เพื่อมอบให้แก่น้องๆ และชาวชุมชนโรงเรียนวัดตาขันด้วย

มูลนิธิเอสซีจี สร้างอาคารเรียนหลังที่ 37

ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “เพราะเยาวชนคือกำลังสำคัญของชาติ ดังนั้นหากจะพัฒนาชาติให้ก้าวหน้า ย่อมต้องพัฒนาคนด้วยการศึกษาเป็นอันดับแรก มูลนิธิเอสซีจีจึงร่วมกับชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจีสร้างอาคารเรียนให้กับเด็กๆ มาอย่างต่อเนื่องดยที่ผ่านมา เราได้ส่งมอบอาคารเรียนให้กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนไปแล้ว 36 หลัง และห้องน้ำ 9 หลัง การส่งมอบอาคารเรียนเพิ่มเติมอีก 1 หลัง และห้องน้ำอีก 1 หลังในวันนี้ จึงเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนไทยอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ผมในฐานะตัวแทนของมูลนิธิเอสซีจีหวังว่าจะได้เห็นเด็ก ๆ ทุกคนที่โรงเรียนวัดตาขัน มีความสุขที่ได้เล่าเรียนในอาคารเรียนหลังใหม่นี้ และอยากเห็นเด็กๆ ที่นี่ เติบโตเป็น ‘คนเก่งและดี’ ของประเทศในวันข้างหน้าต่อไป”

สำหรับอาคารเรียนหลังที่ 37 นี้  มูลนิธิเอสซีจี ได้ทำการปรับปรุงแบบก่อสร้างใหม่ โดยนำนวัตกรรมต่างๆ ของบริษัทในเครือเอสซีจีมาประยุกต์ในการออกแบบ เช่น การติดตั้งเสาเหล็กและโครงสร้างอาคารด้วยวิธี Nut & Bolt และขยายพื้นที่บริเวณระเบียงและทางเดินรอบอาคารเรียน รวมพื้นที่มากกว่า 200 ตารางเมตร เพื่อความปลอดภัยระหว่างการก่อสร้างและเพิ่มพื้นที่การใช้งานของนักเรียน รวมไปถึงการเพิ่มทางลาดชัน ซึ่งเป็นหนึ่งใน Universal Design หรือหลักการออกแบบสำหรับทุกคน และครอบคลุมการใช้สอยที่หลากหลาย โดยอาคารเรียนดังกล่าวเป็นอาคารชั้นเดียวขนาด 15 x 43.20 เมตร จำนวน 4 ห้องเรียน ขนาดห้องละ 69 ตารางเมตร อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากธุรกิจในเครือเอสซีจีในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียน เช่น การอบรมความรู้ในการบริหารจัดการธนาคารขยะแบบครบวงจร สนามเด็กเล่นจาก SCG Chemicals และการทำกิจกรรมต่างๆ กับชุมชน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีร่วมกัน อาคารเรียนดังกล่าวจึงถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีของเยาวชนและเป็นอาคารที่รวมใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

จากพื้นดินอันรกร้างว่างเปล่า ได้ถูกสรรค์สร้างเป็นอาคารเรียนหลังงามด้วยพลังแห่งจิตอาสา             แม้สภาพอากาศที่ร้อนจัดในตอนกลางวัน และฝนฟ้าที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการก่อสร้าง แต่ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นไม่ย่อท้อของคนค่ายอาสาฯ งานทุกอย่างจึงสำเร็จไปได้ด้วยดี ด้วยความเสียสละอุทิศทุกหยาดเหงื่อ       เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับเด็กๆ และทุกคนในชุมชนวัดตาขัน

มิกซ์ – ธนพงศ์ เสนาชัย วิศวกรโยธา จากแผนก System & Solution Business เอสซีจี             ซิเมนต์ – ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คนหนุ่มหัวใจอาสา อดีตนักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี พูดถึงความรู้สึกที่มาร่วม ออกค่ายว่า “ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นผู้ได้รับโอกาส เป็นนักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี ครั้งนี้เมื่อมีโอกาส ผมก็อยากส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่น้องๆ ในถิ่นทุรกันดาร จึงไม่ลังเลที่จะมาร่วมออกค่ายในครั้งนี้ แม้เป็นกำลังเล็กๆ แต่ก็เต็มใจ เพราะการทำงานในค่ายถือเป็นการรวมพลังชาวเอสซีจีทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ที่ต่างมาร่วมแรงแข็งขันทุ่มเททำงานเพื่อให้เด็กๆ ได้มีอาคารเรียนหลังใหม่ ผมเห็นว่าทุกคนมีความเหนื่อยล้า แต่ก็ยังมุ่งมั่นที่จะก่อสร้างอาคารเรียนให้สำเร็จ เราไม่ใช่เพียงแต่สร้างอาคาร แต่เรากำลังสร้างรอยยิ้ม สร้างมิตรภาพและความสุขให้กับเด็กๆ และทุกคนในชุมชน”

ห้องน้ำที่สะอาดและถูกสุขลักษณะ

ด้าน ซีล – กมลชนก แซ่น้า พนักงานจิตอาสา จากหน่วยงาน SCG Precast Concrete Business กล่าวเสริมว่า “รู้สึกภูมิใจมากเมื่อได้เห็นผลงานของพวกเราตอนที่อาคารสร้างเสร็จแล้ว ปลื้มใจมากที่ได้เห็นน้องๆ มีความสุขกับอาคารเรียนหลังใหม่ที่พวกเราได้ร่วมแรงร่วมใจสร้างขึ้นมา เชื่อว่าอาคารเรียนหลังนี้จะยืนยงคงอยู่เพื่อสร้างเด็กและเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศได้อีกต่อไป

ในการมอบอาคารเรียนและห้องน้ำนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบชุดครุภัณฑ์ ชั้นหนังสือ อุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียน และร่วมกับเอสซีจี เคมิคอลส์ มอบสนามเด็กเล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีทางด้านร่างกาย รวมทั้งบริษัทนวพลาสติกอุตสาหกรรม (สระบุรี) จำกัด มอบธนาคารขยะให้แก่โรงเรียน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตอีกด้วย

น้องๆ ร่วมสร้างอาคารเรียนของพวกเขา
สนามเด็กเล่นที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของเด็กๆ

ส่วน เด็กหญิงหทัยจอมขวัญ ตั่นปิน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดตาขัน เป็นตัวแทนนักเรียนกล่าวขอบคุณว่า “พวกหนูขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีมากๆ ค่ะ ที่พี่ๆ จิตอาสาทุกคนเสียสละแรงกายแรงใจรวมถึงวันหยุดพักผ่อน มาร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนและห้องน้ำให้กับโรงเรียนของหนู         บางช่วงพี่ๆ ต้องเจอกับแดดร้อน หรือต้องอยู่ท่ามกลางสายฝน หนูประทับใจมากและเห็นพี่ๆ เป็นตัวอย่างที่ดีในความมานะ อดทน พวกหนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน เป็นนักเรียนที่ดีของคุณครู เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ และเรียนรู้ในอาคารหลังงามที่พี่ๆ มอบให้ ให้คุ้มค่ากับพลังความเสียสละของพี่ๆ ชาวค่ายทุกคนค่ะ”

การให้โอกาสทางการศึกษา คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน มูลนิธิเอสซีจี จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาคารเรียนแห่งนี้จะเป็นสถานที่บ่มเพาะเด็กๆ ให้มีโอกาสได้พัฒนาเป็นเยาวชนที่รักการเรียนรู้ และเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของชุมชม สังคม และประเทศชาติในอนาคตต่อไป