“OrigiRice” ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากข้าวกล้อง แบรนด์คนไทย เตรียมโกอินเตอร์ สร้างมูลค่ามหาศาล

คุณปรีดาธพันธุ์ จันทร์เรือง หรือ พี่ดา อาศัยอยู่ที่ 166 หมู่ที่ 7 ตำบลท่าชัย อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท เกษตรกรต้นแบบ ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แม้ในสถานการณ์ที่ราคาข้าวตกต่ำ ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาคนนี้ได้ จากการปรับตัว หมั่นศึกษาหาความรู้ทั้งด้านการผลิต และการนำนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาสร้างมูลค่าอย่างถูกวิธี ทำให้สามารถปลูกข้าวขายได้โดยที่ไม่ต้องง้อโรงสี ด้วยการใช้นวัตกรรมขั้นสูงเข้ามาใช้ในการแปรรูปข้าวเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารออกมาในหลากหลายรูปแบบ นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากเดิมได้หลายเท่าตัว โดยที่ไม่ต้องมีพื้นที่ปลูกข้าวมากมาย

แครกเกอร์ข้าวต่อยอดโดยนำเอาผงข้าวกล้องงอกจากกระบวนการผลิตเดิม มาพัฒนาสูตรเป็นขนม พัฒนาร่วมกับศูนย์อุตสาหกรรมภาค 3 ร่วมกับศูนย์นวัตกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คุณปรีดาธพันธุ์ จันทร์เรือง หรือ พี่ดา

พี่ดา เล่าถึงจุดเริ่มต้นการแปรรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากข้าวกล้องงอกไรซ์เบอร์รี่ให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาทำนาปลูกข้าว ตนเองทำงานเป็นพนักงานประจำ ในตำแหน่งผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือนเกินครึ่งแสน ต่อมาในปี 58 ตนเองตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อกลับมาทำงานเกษตรที่บ้านเกิดจังหวัดชัยนาท โดยในช่วงเริ่มต้นได้มีการออกไปสำรวจตลาด สำรวจร้านค้าภายในจังหวัดก่อนว่ามีสินค้าอะไรขายดี และนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล จนได้คำตอบว่าข้าวอินทรีย์ขายดี ซึ่งในตอนนั้นข้าวไรซ์เบอร์รี่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 120 บาท บวกกับการมองไปถึงอนาคต ในแง่ของการแปรรูปเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมหาศาล จึงเป็นที่มาของการเลือกปลูกข้าวอินทรีย์ โดยเริ่มจากนาอินทรีย์ 4 ไร่ แล้วจึงค่อยขยับขยายเป็น 15 ไร่ โดยได้รับประกันคุณภาพในระดับท้องถิ่น PGS และผ่านมาตรฐาน GAP

แปลงนาข้าวอินทรีย์ที่ทำเป็นหัวคันนาทองคำ โดยปลูกไม้เศรษฐกิจไว้บนหัวคัน
แปลงนาข้าวอินทรีย์ที่ทำเป็นหัวคันนาทองคำ โดยปลูกไม้เศรษฐกิจไว้บนหัวคัน

อดีตขายข้าวได้ตันละ 80,000 บาท
สู่การแปรรูป “ข้าวกล้องงอก”
สร้างมูลค่าหลายล้านบาทต่อตัน

สำหรับเส้นทางการปลูกและแปรรูปข้าวอินทรีย์นั้น พี่ดา เล่าให้ฟังว่า จากที่เริ่มปลูกข้าวอินทรีย์ในปี 58 และได้เข้าร่วมโครงการผูกปิ่นโตข้าว ซึ่งตนเองได้รับคัดเลือกเป็นเจ้าบ่าวในโครงการ เพราะเป็นชาวนาที่เลิกใช้สารเคมีในการปลูกข้าว กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สามารถขายข้าวได้ตันละ 80,000 บาท โดยที่มีลูกค้าสั่งจองผลผลิตล่วงหน้านานถึง 3 ปี ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนในการต่อยอดพัฒนาสร้างรายได้ในส่วนอื่น บนข้อจำกัดการผลิตข้าวอินทรีย์ของที่แปลงคือ เป็นแปลงข้าวอินทรีย์ที่ทำยากมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากนาข้างๆ เป็นนาเคมี และทำ 3 รอบต่อปี ก็จะสะสมโรคแมลงไว้เยอะ นาของตนเองจึงทำแค่ปีละครั้ง และได้ผลผลิตน้อย ซึ่งอุปสรรคตรงนี้ก็ไม่ได้ทำให้ท้อแท้ แต่กลับกลายเป็นเหมือนการสร้างแรงผลักดันขีดความสามารถของตนเองให้เป็นมากกว่าชาวนาขายข้าว สู่การเป็นนักธุรกิจมีการนำนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ตนเองมีความถนัดเข้ามาต่อยอดพัฒนาแปรรูปข้าวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ในการแก้ปัญหาที่ถึงแม้จะได้ผลผลิตต่อไร่น้อย แต่มีรายได้ไม่น้อยเลย

ใบรับรองมาตรฐานแปลงนาข้าวอินทรีย์ ปราการด่านแรกที่จะถูกคัดเลือกและถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้า BCG
ข้าวกล้องงอกไรซ์เบอร์รี่อัดเม็ด ผสมโกโก้ ที่พัฒนาร่วมกับ ธ.ก.ส.+สวทช.+CDIP ในโครงการแปรรูปข้าว และได้ทุนคูปองนวัตกรรมของ NIA และได้รับการคัดเลือกเป็นสินค้า BCG NEXTGEN จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

“จากตอนปี 59 ถึงปี 61 เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่ผมขายข้าวได้ตันละ 80,000 บาท แต่พอหลังจากนั้นเริ่มมีคนปลูกข้าวอินทรีย์กันมากขึ้นและเกษตรกรขายตัดราคากันเอง ทำให้ผมต้องหันมาเปลี่ยนรูปแบบการขายข้าว จากที่เคยขายข้าวเป็นกิโลกรัม ก็หันมาเน้นการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ ทั้งในรูปแบบข้าวกล้องงอกไรซ์เบอร์รี่ อัดเม็ด Bright, ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร OrigiRice, แครกเกอร์จากผงข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ OrigiRice และกำลังทำลิป จากน้ำมันรำข้าว Lip Rice ซึ่งการแปรรูปตรงนี้ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าจากข้าวได้อย่างมหาศาล โดยทุกผลิตภัณฑ์ทำงานพัฒนาต้นแบบร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ”

โดยความสำเร็จในครั้งนี้ต้องขอบคุณความอดทนและความเพียรพยายามของตนเอง และขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน เนื่องจากการแปรรูปข้าวกล้องงอกแบบอัดเม็ดถือเป็นนวัตกรรมแปรรูปขั้นสูง หากจะให้ทดลองทำเองคนเดียวโดยที่ไม่มีองค์ความรู้ และแหล่งสนับสนุนเงินทุนคงไม่สำเร็จ ซึ่งตรงส่วนนี้ตนเองได้รับทุนพัฒนาข้าวกล้องงอกอัดเม็ดต้นแบบ จาก ธ.ก.ส. และ สวทช. และได้รับทุนพัฒนาข้าวกล้องงอกอัดเม็ด จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ รวมถึงที่ตนเองได้มีการต่อยอดพัฒนาสูตรขึ้นมาเอง โดยนำข้าวหอมมะลิทำเป็นกลิ่นทุเรียน สำหรับต่อยอดส่งออกไปจีน และในส่วนของข้าวทับทิมชุมแพ รสสตรอเบอร์รี่ ที่มีเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้หญิงวัยรุ่นและวัยทำงาน แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องระงับการผลิตชั่วคราว เพราะสินค้ามีอายุการเก็บรักษา ทำให้มีเวลาได้กลับมาวิเคราะห์ความต้องการของตลาดว่าจะนำสินค้าตัวไหนมาตีตลาดอีกครั้ง จึงได้นำเอางานวิจัยตัวเดิมคือข้าวกล้องงอกอัดเม็ดที่มีกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน มาทำในรูปแบบผงชงดื่มที่มีกรรมวิธีง่ายขึ้น โดยเติมโปรตีนเวย์ โปรตีนถั่วเหลือง ZINC และโปรไบโอติก ผสมลงไป จนได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ ผงข้าวกล้องงอกไรซ์เบอร์รี่สกัด “OrigiRice” มีวางขายในช้อปปี้ และอยู่ในขั้นตอนเตรียมวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า และเตรียมส่งออกต่างประเทศ

Lip Rice ลิป ที่ทำจากน้ำมันรำข้าว พัฒนาร่วมกับอุตสาหกรรมจังหวัดชัยนาท
ข้าวกล้องแบรนด์ OrigiRice ที่มีจำหน่ายก่อนมาแปรรูป

ส่วนขั้นตอนการแปรรูปนั้น ต้องใช้นวัตกรรมขั้นสูง ในเบื้องต้นพี่ดาอธิบายให้ฟังว่า ข้าวที่จะนำมาแปรรูปได้จะต้องเป็นข้าวอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐานออร์แกนิก และข้าวที่จะนำมาแปรรูปต้องมีอายุการเก็บเกี่ยวไม่เกิน 6 เดือน โดยข้าวของตนเองอยู่ในกลุ่มสินค้า BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่เตรียมส่งออก

หลังจากนั้นเมื่อได้ข้าวอินทรีย์คุณภาพตามต้องการแล้ว จะเป็นขั้นตอนการแปรรูปที่ได้รับการส่งมอบวิธีการพัฒนากระบวนการแปรรูปด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จาก สวทช. เพียงผู้เดียว

โดยผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอกไรซ์เบอร์รี่อัดเม็ด ได้รับรางวัลสุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards ประเภทรางวัลนวัตกรรมประเภทที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ อันดับรางวัล Creator Awards ด้วยเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอกไรซ์เบอร์รี่ในรูปแบบอัดเม็ด จากวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษเมืองชัยนาท อุดมด้วยแกมม่า ออไรซานอล บำรุงสมองและระบบประสาท ผลิตโดยกระบวนการใช้เอนไซม์ย่อยสกัดน้ำข้าว แล้วนำมาอบแห้งแบบ Spray dry ก่อนจะขึ้นรูปอัดเป็นเม็ด อุดมด้วยวิตามิน B 3, B 5, B 6 และแคลเซียม เสริมสร้างการเจริญเติบโต และช่วยผ่อนคลายความเครียดได้

 

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่พัฒนาต่อยอดจากข้าวกระบวนการผลิตเดิมของข้าวกล้องงอกอัดเม็ด โดยมาพัฒนาสูตรร่วมกับ สสว.+ม.ธรรมศาสตร์ ในโครงการ Born Strong
ออกบู๊ธโชว์ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว แบรนด์ OrigiRice

เตรียมโกอินเตอร์

เจ้าของบอกว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ตอนนี้ได้มีการวางแผนการผลิต และเตรียมเดินหน้าส่งออกต่างประเทศอย่างเต็มกำลังเท่าที่จะทำได้ โดยจะเริ่มเปิดตลาดจากผลิตภัณฑ์ ผงข้าวกล้องงอกไรซ์เบอร์รี่สกัด “OrigiRice” ขายในราคากล่องละ 650 บาท 1 กล่อง บรรจุ 15 ซอง ซึ่งในจำนวนข้าว 1 ตัน สามารถแปรรูปสร้างมูลค่าออกมาเป็นเงินได้มหาศาล เป็นผลจากการที่ได้เข้าร่วมโครงการ ThEP for FTA MARKET ที่สนับสนุนสินค้า BCG ใช้ประโยชน์ FTA ส่งออกตลาดต่างประเทศ ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ แบรนด์ของตนเองได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการขายในต่างประเทศ

“ปัจจุบันสินค้าแบรนด์ OrigiRice มีทั้งที่ผมออกบู๊ธขายเอง และลงขายผ่านช้อปปี้ประเทศไทย ช้อปปี้สิงคโปร์ ซึ่งในอนาคตจะมีสินค้าวางขายใน amazon สิงคโปร์ และเตรียมวางจำหน่ายในร้านภูมิใจไทย แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมต้องผ่านอุปสรรคมากมาย เรียกได้ว่าต้องงัดความสามารถทุกด้านออกมาใช้ ทั้งความสามารถในการอดทน ความสามารถในการขยันศึกษาหาความรู้ ความสามารถด้านนวัตกรรม และความอุตสาหะในการหาช่องทางหรือหน่วยงานที่จะสามารถช่วยผลักดันให้เกิดความสำเร็จตามที่ต้องการ เพราะส่วนหนึ่งคือเรารู้ว่าเราไม่เก่งด้านการตลาด แต่สินค้าเรามีคุณภาพ และมีเป้าหมายคืออยากส่งออกตลาดต่างประเทศ เราก็ต้องเข้าไปหาหน่วยงานที่ช่วยผลักดันเราไปให้ถึงจุดตรงนั้นที่เราต้องการ” พี่ดา กล่าวทิ้งท้าย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่พัฒนาต่อยอดจากข้าวกระบวนการผลิตเดิมของข้าวกล้องงอกอัดเม็ด โดยมาพัฒนาสูตรร่วมกับ สสว.+ม.ธรรมศาสตร์ ในโครงการ Born Strong
ข้าวกล้องแบรนด์ OrigiRice ที่มีจำหน่ายก่อนมาแปรรูป
ข้าวกล้องงอกไรซ์เบอร์รี่อัดเม็ด ผสมโกโก้ ที่พัฒนาร่วมกับ ธ.ก.ส.+สวทช.+CDIP ในโครงการแปรรูปข้าว และได้ทุนคูปองนวัตกรรมของ NIA และได้รับการคัดเลือกเป็นสินค้า BCG NEXTGEN จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 065-554-5682 หรือติดต่อได้ช่องทางเฟซบุ๊ก : Preedathapan Junruang