เผยแพร่ |
---|
ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 สำหรับโครงการเพิ่มข้าว จัดขึ้นโดย บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ผนึกกำลังระหว่าง มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวิชาการเกี่ยวกับการผลิตข้าวให้กับเกษตรกรเพื่อสร้างความยั่งยืน รวมถึงเสริมองค์ความรู้ด้านการใช้ปัจจัยการผลิตอย่างถูกต้อง ทั้งในด้านการใช้เมล็ดพันธุ์ เคมีเกษตร และสำคัญที่สุดคือธาตุอาหารพืช หรือปุ๋ยเคมี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และคุ้มค่ามากที่สุด
นายกองเอกเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย กล่าวในนามของสมาคมฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับทาง บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี และกับทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร โดยภาพรวมของธุรกิจปุ๋ยเคมีทั้งประเทศ ขณะนี้สมาคมมีสมาชิกที่ดูแลเกษตรกรด้านปุ๋ยเคมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ มีพันธกิจหลักคือ ความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้เกษตรกรของประเทศมีการใช้ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรกรที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพตามมาตรฐานของกรมวิชาการเกษตรกรและมาตรฐานสากล ซึ่งด้วยนโยบายดังกล่าวสิ่งที่สำคัญของประเทศก็คือ วันนี้ทั่วโลกเริ่มขาดแคลนอาหาร ทางองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้เปิดเผยข้อมูลว่า มีประเทศต่างๆ ในโลกกว่า 26 ประเทศ ในภูมิภาคตั้งแต่ทวีปอเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง และเอเชีย ที่จะขาดแคลนอาหาร ในขณะที่ประเทศไทยเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกข้าวที่เป็นรายได้สำคัญให้กับประเทศ ทำให้เราสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ แต่วันนี้การแข่งขันมีความลำบากยิ่งขึ้น เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านสามารถผลิตข้าวส่งออกติดอันดับโลกเหมือนกัน และราคาที่ถูกกว่าประเทศไทยในหลายปัจจัย แต่ข้าวของไทยก็ยังเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ตรงนี้ทางหน่วยงานภาครัฐก็ได้เล็งเห็นถึงปัญหาและมุ่งหาทางออกในการลดค่าใช้จ่ายด้านการผลิตลงให้ได้
โดยที่ผ่านมาเกษตรกรส่วนใหญ่เข้าใจว่าการไม่ใช้ปุ๋ยเคมีจะเป็นวิธีการช่วยลดต้นทุนได้ แต่ด้วยข้อเท็จจริงแล้วปุ๋ยเคมีคือธาตุอาหารสำคัญที่พืชต้องการ แต่จำเป็นต้องมีการใช้อย่างถูกหลัก ถูกช่วงเวลาที่พืชต้องการ รวมถึงการจัดโซนนิ่งในการเพาะปลูกอย่างเหมาะสม ดังนั้น ถ้าเกษตรกรมีองค์ความรู้ด้านการดูแลจัดการอย่างถูกต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ เขาก็จะอยู่ดี กินดี มีรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัวมากขึ้น และส่งผลดีกับเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแน่นอน
“ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทางสมาคมฯ จึงได้ผนึกกำลังร่วมกับทางมหาวิทยาลัยฯ และ บมจ. ไทยเซนทรัลเคมี เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ที่ถูกต้องให้กับเกษตรกรได้รับรู้ เพื่อเกิดประโยชน์กับเกษตรกรสูงสุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นที่น่าพึงพอใจ ทั้งในแง่ของปริมาณผลผลิต และคุณภาพที่เพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลไปถึงภาพรวมของการส่งออกเป็นรายได้ของประเทศมากขึ้น และสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ ตรงนี้ถือเป็นวัตถุประสงค์หลักของสมาคม” นายกองเอกเปล่งศักดิ์ กล่าว
ผศ.ดร. วัชพงษ์ อินทรวงศ์ รองอธิการบดี วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของจังหวัดสกลนคร มีจำนวนประชากรประมาณหนึ่งล้านสองแสนคน โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรชาวนา ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด แต่ยังคงติดปัญหาด้านการผลิต ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สามารถไปแข่งขันกับนานาประเทศได้ เช่น เวียดนาม จีน และอินเดีย ที่มีความแข็งแกร่งขึ้นมากในด้านการผลิต สวนทางกับประเทศไทย จากที่เคยส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่ง แต่ตอนนี้ถูกอินเดียและเวียดนามแซงไปแล้ว ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการเข้าร่วมโครงการเพิ่มข้าว เพื่ออยากเป็นอีกหนึ่งกำลังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้นจากผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้น
โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องทำให้เห็นในเชิงประจักษ์ว่า “โครงการเพิ่มข้าว” ที่ทางมหาวิทยาลัยฯ กับ บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกันศึกษาค้นคว้าวิจัย สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวให้กับพี่น้องเกษตรกรได้จริง ครั้งนี้เป็นปีที่ 3 จากการทำแปลงนาสาธิต เพื่อหาองค์ความรู้ที่ถูกต้อง รวมถึงได้ร่วมมือกับเกษตรกรที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆ มหาวิทยาลัยฯ จัดทำโครงการดาวล้อมเดือน ซึ่งหมายถึง มหาวิทยาลัย เปรียบเสมือนดวงเดือนล้อมรอบด้วยดาวเล็กดาวน้อย หมายถึงชุมชนโดยรอบ ว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเข้าไปช่วยเพิ่มผลผลิตข้าว เพิ่มรายได้ เพื่อให้พี่น้องชาวนาได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“จากการที่ผมติดตามผลผลิตข้าวในเชิงปริมาณ ก่อนหน้าที่จะมีโครงการเพิ่มข้าวลงไป ผลผลิตต่อไร่ของเกษตรกรมีปริมาณค่อนข้างต่ำอยู่ในระหว่าง 300-350 กิโลกรัมต่อไร่ แต่พอหลังจากที่เกษตรกรได้เข้าร่วมโครงการและได้รับการเผยแพร่องค์ความรู้ ทั้งในด้านของการใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้อง ใช้เมล็ดพันธุ์มีคุณภาพ การวิเคราะห์ค่าดินก่อนปลูก รวมถึงเทคนิคการปลูกอย่างถูกวิธี ซึ่งพอเกษตรกรได้รับองค์ความรู้ที่ถูกต้อง และปฏัติอย่างถูกวิธีแล้ว ล่าสุดทางมหาวิทยาลัยก็ได้รับรายงานว่า ปริมาณผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยได้ 300-350 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นมาเป็น 500 กิโลกรัมต่อไร่ และในบางแปลงผลผลิตเพิ่มขึ้นสูงถึง 700 กิโลกรัมต่อไร่ จึงได้เป็นตัวพิสูจน์ผลลัพธ์ในเชิงประจักษ์ว่าองค์ความรู้ที่ถูกต้อง การใช้ปุ๋ยอย่างถูกวิธี การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ และห้วงเวลาการปลูกที่เหมาะสม จะนำมาซึ่งผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น และยังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย”
นายวัชระ ปิงสุทธิวงศ์ เจ้าหน้าที่บริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี กล่าวว่า สำหรับโครงการเพิ่มข้าว ถือเป็นนโยบายสำคัญที่ทางบริษัทจัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตข้าวโดยเฉพาะ โดยมีจุดมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องเกษตรกรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุกด้าน รวมถึงมีความต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนวิถีการทำเกษตรกรแบบเดิมๆ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ผ่านกระบวนการ คิดวิเคราะห์ ก่อนลงมือเพาะปลูกเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมในทุกด้าน
ผ่านโครงการอบรมเกษตรกร “เพิ่มข้าว” เพิ่มผลผลิตข้าวไทย โดยในครั้งนี้ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการเพิ่มผลผลิตข้าวไทย ในแง่ของการใช้ปัจจัยทางการผลิตได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมตามหลักวิชาการ ตั้งแต่การเลือกเมล็ดพันธุ์ การใช้เคมีเกษตร และธาตุอาหารพืช หรือปุ๋ยเคมี ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญมากในการผลิตพืชผลทางการเกษตร ด้วยวิธีการวิเคราะห์ค่าดินก่อนปลูก เพื่อการบำรุงอย่างตรงจุด ส่งผลทำให้ปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้น สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่ลดลง
จากการดำเนินโครงการมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย ภาครัฐ และภาคเอกชนมาโดยตลอด ถึงปัจจุบันสามารถขยายพื้นที่ทำแปลงทดลองเพิ่มข้าวกระจายเกือบ 25 จังหวัดทั่วประเทศ ถือเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง สามารถเพิ่มผลผลิตในนาข้าวได้จริง และสอดคล้องกับนโยบายของทางภาครัฐ ที่พยายามผลักดันให้เกษตรกรใช้ปัจจัยการผลิตได้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์มากกว่าการมุ่งเน้นที่จะลดต้นทุนการผลิตเพียงอย่างเดียว
“ผมในฐานะผู้บริหาร ของ บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยเต็มสูตร ตราหัววัว-คันไถ มีความพึงพอใจในผลลัพธ์ของโครงการนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกรอย่างแท้จริง และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับทางมหาวิทยาลัย ที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้โครงการเพิ่มข้าวประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม ในอนาคตตั้งเป้าขยายโครงการให้ครอบคลุมครบทั้ง 77 จังหวัด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้เกษตรกรมีความภาคภูมิใจในอาชีพของตนเอง มองว่าอาชีพเกษตรกรมีความก้าวหน้า และยั่งยืนได้” นายวัชระ กล่าว
ผศ.ดร.ศุภสิทธิ์ สิทธาพานิช คณบดี คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร กล่าวเสริมในส่วนของการดำเนินการโครงการเพิ่มข้าว ว่า ทางมหาวิทยาลัยเริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรในกลุ่มดาวล้อมเดือน เริ่มจากเกษตรกรกลุ่มเล็กๆ เพื่อสร้างการยอมรับเทคโนโลยีที่ทางมหาวิทยาลัยได้เผยแพร่ จากนั้นเมื่อเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีจึงค่อยๆ ขยายการถ่ายทอดองค์ความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากจุดเริ่มต้นที่มีเกษตรกร 2 ราย วันนี้มีเกษตรกรเพิ่มขึ้นมาประมาณ 1,000 ราย โดยมีการวางแผนขยายขอบเขตการทำงานตามผลงานที่เกิดขึ้น
“นับเป็นเวลากว่า 3 ปี ที่ทางมหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการเพิ่มข้าว ถือว่าประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย จากที่ทางมหาวิทยาลัยเริ่มต้นขยายองค์ความรู้จากเกษตรเพียง 2 รายในปีแรก ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ที่เราจัดโครงการอบรมเกษตรกร “เพิ่มข้าว” เพิ่มผลผลิตข้าวไทย มีเกษตรกรให้ความสนใจเข้ามาร่วมฟังอบรมเป็นจำนวนกว่าหนึ่งพันราย ซึ่งเป็นผลมาจากเกษตรกรที่ได้ปฏิบัติจริงและได้รับเทคโนโลยีที่เราถ่ายทอดให้แล้วเห็นผล เราจึงถือโอกาสตรงนี้ในการขยายองค์ความรู้ โดยให้พี่น้องเกษตรกรเป็นสื่อในการช่วยขยายผล หรือเป็นการที่ให้เกษตรกรบอกต่อกันเอง เพราะวิธีการนี้จะได้ผลมากกว่าการที่นักวิชาการลงไปเผยแพร่กับเกษตรกรเอง โดยในช่วงแรกเราใช้เทคนิคให้เกษตรกรเข้ามาทำงานกับเราด้วย เราไม่เพียงแต่ลงไปส่งเสริมอย่างเดียว แต่จะให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลในการทำงานวิจัย เพราะฉะนั้นเขาจะเรียนรู้ไปพร้อมกับเราทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการคิด การเก็บข้อมูล และเขาจะรับทราบว่าในสิ่งที่ทำมีเหตุมีผลอย่างไร และได้ผลอย่างไร เพราะฉะนั้นเกษตรกรก็จะเข้าใจและยอมรับเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดให้ได้อย่างเต็มที่” ผศ.ดร. ศุภสิทธิ์ กล่าว
นางสมใจ ครุธตำคำ เกษตรกรร่วมโครงการแปลงนาสาธิต โครงการเพิ่มข้าว กล่าวว่า ก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการเพิ่มข้าว ปัญหาหลักๆ ที่ประสบมาโดยตลอดคือ เรื่องของปริมาณผลผลิตและคุณภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่มีผลมาจากการยึดติดทำนาแบบเดิมๆ สมัยบรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่มีการค้นคว้าหาต้นตอของปัญหา และวิธีแก้ไขที่จะทำอย่างไรให้ผลผลิตในนาข้าวเพิ่มขึ้น
จนกระทั่งตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มข้าว จากการชักชวนของมหาวิทยาลัยฯ จึงไม่รอช้า เพราะคิดว่าโครงการนี้จะเป็นโอกาสทั้งของตนเองและเกษตรกรที่จะได้เข้าถึงข้อมูลและวิธีการปฏิบัติอย่างถูกต้องในการเพิ่มผลผลิตข้าวในแปลงของตนเอง รวมถึงที่ตนเป็นหนึ่งในสมาชิกโครงการดาวล้อมเดือนด้วย จึงถือเป็นโอกาสดีในการที่จะนำเอาองค์ความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ให้กับชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรด้วยกันได้เข้าใจง่ายขึ้น โดยยึดหลักความถูกต้อง “ถูกสูตร ถูกอัตรา ถูกเวลา และถูกวิธี”
“จากข้อมูลจำนวนเกษตรกรในจังหวัดสกลนครที่ลงทะเบียนเกษตรกรจริงๆ ผลผลิตที่ได้เฉลี่ยอยู่ที่ 300-350 กิโลกรัมต่อไร่มาโดยตลอด ซึ่งปัญหาหลักๆ เป็นเพราะที่ผ่านมาการปลูกข้าวทั้งในแปลงของตนเอง และเกษตรกรในพื้นที่ ไม่เคยมีการตรวจวิเคราะห์ค่าดินก่อนปลูก ว่าพืชต้องการหรือขาดธาตุอาหารอะไร เราก็ใส่ไปตามความเข้าใจของตนเอง เห็นแปลงไหนดี แปลงไหนสวยก็ใส่ตามๆ กัน จนลืมคิดไปว่าดินในแต่ละพื้นที่ต้องการธาตุอาหารไม่เหมือนกัน ดังนั้นต่อให้เราจะใส่ปุ๋ยตามคนอื่นยังไงผลลัพธ์ก็ได้ไม่ดีเหมือนของเขา จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเพื่อนำองค์ความรู้ที่ถูกต้องมาพัฒนาผลผลิตในแปลงของตนเอง”
โดยมีพื้นที่ทำแปลงนาสาธิตทั้งหมด 6 ไร่ แบ่งปลูกเป็น 2 รูปแบบ เพื่อให้เห็นความแตกต่างของผลผลิตได้ชัดเจน รูปแบบที่ 1 ปลูกโดยใช้องค์ความรู้ที่ได้จากโครงการเพิ่มข้าว มีการวิเคราะห์ค่าดินก่อนปลูก และใช้ปัจจัยการผลิตอย่างถูกต้อง รวมถึงการเพาะปลูกอย่างถูกวิธี รูปแบบที่ 2 ใช้วิธีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม ปลูกตามความเข้าใจของตนเอง คือไม่มีการวิเคราะห์ค่าดินก่อนปลูก รวมถึงการบำรุงใส่ปุ๋ยตามความเข้าใจของตนเอง คือใช้วิธีการเดินหว่าน โดยที่ไม่รู้ว่าพืชได้กินธาตุอาหารครบ และตรงกับที่ต้องการหรือไม่
จนมาถึงวันเก็บเกี่ยวผลผลิตก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า แปลงที่ปลูกโดยมีองค์ความรู้ ทำอย่างถูกวิธี ผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปีแรกได้ผลผลิตไร่ละประมาณ 560 กิโลกรัมต่อไร่ ในปีที่ 2 ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 600 กิโลกรัมต่อไร่ ส่งผลทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตกลับถูกลง เพราะมีการบำรุงใส่ปุ๋ยอย่างถูกวิธี และตรงตามที่พืชต้องการ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่เยอะ แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในปีที่ 3 อยู่ในช่วงรอเก็บเกี่ยวผลลผิต ซึ่งได้คาดการณ์ผลผลิตจากการสังเกตกอข้าวในแปลง ณ ปัจจุบัน มีกอใหญ่ อุดมสมบูรณ์ จึงคาดว่าผลผลิตในปีที่ 3 ก็จะได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกัน
ซึ่งตนมีความพึงพอใจกับผลผลิตที่ได้เป็นอย่างมาก ถือว่าโครงการเพิ่มข้าว เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำนาแบบเดิมๆ ให้มีมาตรฐานมากขึ้น และถือเป็นการติดอาวุธให้กับเกษตรกรและชาวนา ได้นำความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมโครงการไปประยุกต์ใช้กับการปลูกข้าวเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น เพราะหากเรามีความรู้ความเข้าใจในการเลือกใช้ปัจจัยการผลิต ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ เคมีเกษตร รวมถึงการเพาะปลูกข้าวอย่างถูกวิธี ก็จะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ทำให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น