เริ่มแล้ว! งานประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชีย ประจำปี 2022 ณ กรุงเทพฯ เมืองหลวงศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชียและเเปซิฟิค

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 งานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชียได้กลับมาจัดที่กรุงเทพฯ ประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากห่างหายไป 2 ปี โดยกลับมาอย่างยิ่งใหญ่พร้อมผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1,100 ท่าน จากมากกว่า 50 ประเทศ ทั่วโลกที่มาร่วมการประชุมธุรกิจเมล็ดพันธุ์ในสัปดาห์นี้

งานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชีย จัดขึ้นในวันที่ 14-18 พฤศจิกายน 2565 โดยสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชีย และแปซิฟิค (APSA) ร่วมกับ สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (THASTA) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมวิชาการเกษตร ในฐานะคณะกรรมการการจัดงานประจำประเทศไทย

ดร. บุญญานาถ นาถวงษ์ หัวหน้าคณะกรรมการจัดงานประจำประเทศไทย

“หากพิจารณาจากจำนวนผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายประเทศทั่วโลก จะเห็นว่า งานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชีย ได้พิสูจน์ว่าประเทศไทยพร้อมที่จะต้อนรับทุกท่านอีกครั้งหลังจากสถานการณ์โควิด การจัดงานที่มุ่งเน้นด้านอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ในครั้งนี้จะทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายเพื่อยืนยันสถานะศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ระดับภูมิภาคมากขึ้น” ดร. บุญญานาถ นาถวงษ์ หัวหน้าคณะกรรมการจัดงานประจำประเทศไทยกล่าว

คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ประธานคณะกรรมการ สมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค และสมาชิกของสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย

คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ประธานคณะกรรมการ สมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค และสมาชิกของสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย กล่าวสะท้อนถึงช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ APSA ในการประชุมสามัญประจำปี วันที่ 17 พฤศจิกายนว่า “ดังที่เราได้เรียนรู้ร่วมกันตลอด 3 ปีที่ผ่านมา การปฏิบัติตามวิถีดั้งเดิมหรือแบบปกตินั้นไม่สามารถสร้างความยั่งยืนได้ เพื่อให้เราสามารถอยู่รอดและเจริญเติบโตได้นั้น เราจำเป็นต้องเข้าใจแนวโน้มและเทรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมปรับตัวตามเทรนด์เหล่านั้น”

“งานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชีย เป็นเวทีในอุดมคติที่เปิดโอกาสให้เราได้รวมตัวพบปะหารือกันเกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ๆ ความท้าทายและโอกาสต่างๆ ที่เรามี รวมถึงสิ่งที่ต้องกระทำเพื่อก้าวเดินต่อไปในภายหน้า เพื่อบรรลุพันธกิจและความมุ่งมั่นตั้งใจของเราที่มีต่อเกษตรกรและครอบครัวของพวกเราทุกคน”

งานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชียในครั้งนี้ ถือเป็นการจัดประชุมธุรกิจครั้งที่ 7 ในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาได้จัดงานครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2537 โดยหลังจากนั้นการประชุมทางธุรกิจเมล็ดพันธุ์นี้ได้จัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร อีกจำนวน 4 ครั้ง คือในปี พ.ศ. 2542, 2546, 2552 และ 2560 ตามลำดับ และได้จัดประชุมที่พัทยาใน พ.ศ. 2554

นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่ผ่านมางานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชีย หรือ ASC ในอดีตได้จัด ณ กรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ (3 ครั้ง) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (2 ครั้ง) และในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลียเมืองเซี่ยงไฮ้ มาเก๊า เกาสง ประเทศจีน รัฐกัว กรุงนิวเดลลี บังกาลอร์ และไฮเดอราบัด ประเทศอินเดีย เมืองชิบะและโกเบ ประเทศญี่ปุ่น กรุงจาการ์ตา และบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย กรุงโซลและอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี และเมืองโฮจิมินท์ ประเทศเวียดนาม

ตัวแทนผู้เข้าร่วมงานมาจากหลายภาคส่วน อาทิองค์กรภาคธุรกิจเมล็ดพันธุ์ หน่วยงานรัฐ สถาบันด้านการวิจัยและพัฒนา องค์กรด้านนโยบายการค้าเมล็ดพันธุ์ และองค์กรส่งเสริมความร่วมมือด้านนโยบายการค้าเมล็ดพันธุ์

ความท้าทายและการพัฒนานวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์พืชในปัจจุบัน (ซึ่งรวมไปถึง เทคนิคการปรับปรุงพันธุ์พืชแนวใหม่ การปรับแต่งจีโนม และเทคโนโลยีชีวิภาพ) เทรนด์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอล การบังคับใช้และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองพันธุ์พืช มาตรฐานสุขอนามัยพืชและแนวโน้มทางการตลาด

ในช่วงที่ผ่านพ้นการเเพร่ระบาดไปแล้ว ข้อมูลทางการค้าได้บ่งชี้ถึงความต้องการเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งจากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและจากนอกภูมิภาค

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร

ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางและหัวใจสำคัญของเมล็ดพันธุ์เมืองร้อนระดับโลก

ประเทศไทยอยู่ในฐานะประเทศผู้นำในด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ การแปรรูปเมล็ดพันธุ์ และประเทศผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ

กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบายศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ของประเทศไทย โดยการผลักดันประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านเมล็ดพันธุ์เขตร้อนระดับโลก โดยมีแผนแม่บทยุทธศาสตร์พืชเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ ข้าวโพดและผัก และแผนแม่บทยุทธศาสตร์พืชเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีเพื่อความยั่งยืน ได้แก่ ข้าว พืชไร่ พืชอาหารสัตว์ และพืชบำรุงดิน และมี 4 กลยุทธ์ ในการขับเคลื่อน ดังนี้

1. การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยี มุ่งเน้นงานวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์พืชด้วยเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่อย่างปลอดภัย พัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ต่างๆ เช่น การตรวจสอบพืช GMOs การจำแนกพันธุ์หรือศัตรูพืชเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ (Seed enhancement technology) เช่น การเคลือบเมล็ดหรือการพอกเมล็ดด้วยจุลินทรีย์ส่งเสริมการเจริญของพืชหรือธาตุอาหาร การวิจัยการทำเกษตรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนและให้การรับรองระบบการทำการเกษตรไร้ก๊าซเรือนกระจก งานวิจัยเพื่อเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมที่มีลักษณะดีเป็นที่ต้องการของตลาดทั้ง conventional breeding และ modern breeding biotechnology พร้อมทั้งการสร้างฐานข้อมูลทรัพยากรพันธุกรรมพืชและพันธุ์พืชของประเทศไทยที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาพันธุกรรมพืชพื้นเมืองของชุมชนที่เกษตรกรสามารถดำเนินการได้เองโดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืชที่ดีและเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อความยั่งยืน

2. การปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบและมาตรการของภาครัฐ ด้วยการแก้ไข ปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ให้ทันสมัยมากขึ้น ปรับปรุงกฎระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับพืชดัดแปรพันธุกรรม และพืชที่ได้จากเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ภายใต้ พรบ. กักพืช และเร่งรัดการออกกฎหมายเฉพาะเพื่อกำกับดูแลสิ่งมีชีวิตที่ได้จากเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ตามร่าง พรบ. ความหลากหลายทางชีวภาพ และเตรียมพร้อมกฎหมายลำดับรองเพื่อกำกับดูแลให้ครอบคลุมในทุกกิจกรรมด้านเมล็ดพันธุ์

3. การส่งเสริมการผลิตและการตลาด กรมวิชาการเกษตรมีแผนในการให้การรับรองห้องปฏิบัติตรวจสอบสุขอนามัยเมล็ดพันธุ์ของภาคเอกชน (Seed Health Lab Accreditation) ให้สามารถตรวจรับรองการปลอดศัตรูพืชในเมล็ดพันธุ์ได้ถูกต้องตามกฎหมายและสามารถออกใบรับรองสุขอนามัยพืชอิเล็กทรอนิกส์ (e-Phyto)ได้ โดยผ่านระบบบริการออนไลน์ระบบใหม่ของกรมวิชาการเกษตร (NEW DoA-NSW) เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออก และนำผ่านของด่านตรวจพืช พร้อมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและส่งเสริมอุตสาหกรรมการค้าธุรกิจเมล็ดพันธุ์ของประเทศ นอกจากนี้ยังมีแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ร่วมกับชุมชนและผู้ประกอบการ เพื่อให้ได้ราคาเมล็ดพันธุ์ที่ยุติธรรมและเหมาะสมสำหรับเกษตรกรรายย่อย

4. การสร้างและพัฒนาบุคลากร กรมวิชาการเกษตรมีความร่วมมือระหว่างกับสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทยและภาคเอกชนอื่น ๆ ในด้านการตรวจสอบคุณภาพและสุขอนามัยเมล็ดพันธุ์ การตรวจสอบความบริสุทธิ์ทางพันธุกรรม (Seed purity และ Seed free-GMs) เช่น โครงการทดสอบความชำนาญ (PT) ระหว่างห้องปฏิบัติการของรัฐและเอกชน การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ (นานาชาติ) เช่น สมาคมเมล็ดพันธุ์แห่งภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค (APSA) และ สมาคมทดสอบเมล็ดพันธุ์นานาชาติ (ISTA) รวมถึงการฝึกอบรมระหว่างห้องปฏิบัติการของภาครัฐและภาคเอกชน

ดร. ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการ (ด้านบริหารการวิจัยและพัฒนา) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ดร. ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการ (ด้านบริหารการวิจัยและพัฒนา) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงบทบาทของ สวทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย SeedHub โดยการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยในอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ เกิดการทำงานร่วมกันที่เรียกว่า Seed cluster ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา

สวทช. สนับสนุนการดำเนินงานใน 5 พันธกิจ ดังนี้

1. วิจัยและพัฒนา สร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่เมล็ดพันธุ์ ได้แก่
• เทคโนโลยีการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและชุดตรวจวินิจฉัยต่อเชื้อก่อโรคพืชในอุตสาหกรรมผลิตเมล็ด
พันธุ์ โดย BIOTEC
• เทคโนโลยีจีโนมในการวินิจฉัย ตรวจสอบ โรคและความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมสำหรับการส่งออก
เมล็ดพันธุ์ และการใช้เทคโนโลยีจีโนมในการคัดเลือกพันธุ์ ซึ่งช่วยให้ภาคเอกชนส่งออกเมล็ดพันธุ์และพัฒนาพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น โดยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC)

2. โครงสร้างพื้นฐาน เช่น หน่วยบริหารเชื้อพันธุกรรมพืชทั้งในระดับ working collection และ long-termsecurity เช่น National Biobank of Thailand(NBT) โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเครือข่าย ได้แก่ ม.ขอนแก่น ม.เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และ ม.เกษตรศาสตร์

3. พัฒนาบุคลากร ได้แก่ การสร้างนักปรับปรุงพันธุ์รุ่นใหม่ ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่

4. ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนและเกษตรกรรวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

5. สร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและข้อมูลด้านตลาดเมล็ดพันธ์ุ การทดสอบพันธุ์การทำBusiness matching ของภาคเอกชน

เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ภาคเอกชนด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมุ่งหวังให้อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์เติบโต และมีความมั่นคงยั่งยืนทั้งระบบ

ความร่วมมือระหว่างสมาคมฯ และกรมวิชาการเกษตร ในการพัฒนา Thailand Seed Hub สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ได้ส่งผู้แทนเข้าเป็นคณะกรรมการร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ในการส่งเสริมและพัฒนาการเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์พืช (Thailand Seed Hub) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสมาคมฯ ได้จัดงาน THAILAND INTERNATIONAL SEED TRADE ประจำปีขึ้นที่กรุงเทพฯ และได้เชิญผู้ประกอบการค้าเมล็ดพันธุ์รวมทั้งองค์กรพันธมิตรจากทั่วโลกมาประชุมเจรจาการค้าและการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ในระดับสากล

แล้วในฐานะสมาคมเมล็ดพันธ์พืชระดับภูมิภาค ทาง APSA มีบทบาทสำคัญเช่นกันในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเมล็ดพันธ์ ผ่านแพลตฟอร์มระดับภูมิภาคและระดับโลกที่หลากหลาย และแหล่งทรัพยากรระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการมองผ่านผลของกลยุทธ์นี้

และงานสำคัญอย่าง Asian Seed Congress ก็เป็นหนึ่งในเวทีหลักที่จะรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมารวมกันเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายของภาคส่วนนี้ และด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะคงตำแหน่งในฐานะ “เมืองหลวง” เมล็ดพันธุ์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป สร้างความมั่นใจว่าประเทศจะสามารถยืนหยัดในสถานะของตนในฐานะศูนย์กลางการจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชเมืองร้อนชั้นนำระดับโลกได้ทันท่วงที