“Bee Park” ศูนย์วิจัยผึ้งพื้นเมืองและแมลงผสมเกสร มจธ.ราชบุรี ยกระดับน้ำผึ้งไทย

BeePark รังชันโรงที่เลี้ยงไว้ศึกษาที่ศูนย์

ศูนย์วิจัยผึ้งพื้นเมืองและแมลงผสมเกสร (Native Honeybee and Pollinator Research Center) เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานการเรียนรู้เรื่องผึ้ง หรือ “Bee Park” ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มี รศ.ดร.อรวรรณ ดวงภักดี อาจารย์ประจำ มจธ.ราชบุรี เป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยฯ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมผึ้งและภาษาผึ้งคนแรกของไทย ล่าสุด ยังเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “Regional President of Asia” ของสภาบริหารของสมาคมผึ้งโลก Apimondia (Apimondia: International Federation of ​Beekeepers’ Associations)

BEESANC ผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำผึ้ง

รศ.ดร.อรวรรณ กล่าวว่า บทบาทหน้าที่ของศูนย์คือ การศึกษาวิจัยด้านผึ้งใน 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. ศึกษาพฤติกรรมผึ้ง ความหลากหลายของผึ้งและปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผึ้งทางการเกษตรและการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิอากาศ (climate change) 2. สร้างเครื่องมือที่ชื่อว่า รังผึ้งฉลาด (smart hives) เพื่อศึกษาภาษาผึ้งผ่านแอปพลิเคชั่น beeconnex โดยทำร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. 3. ใช้ประโยชน์จากผึ้งเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และ 4. สร้างน้ำผึ้งมูลค่าสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะจำหน่ายผ่านแบรนด์ “BEESANC” ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับผลผลิตน้ำผึ้งของเกษตรกรที่ผ่านการอบรมจากทั่วประเทศไทย

การเลี้ยงผึ้งสามารถเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ที่มั่นคงและแน่นอนได้
ดอกดาวกระจาย แหล่งน้ำหวานคุณภาพดีของผึ้ง

“ศูนย์เราเริ่มจากการศึกษาวิจัยก่อน โดยได้ทำงานวิจัยด้านผึ้งและต้นผึ้งมานานกว่า 10  ปี จากนั้นนำองค์ความรู้ที่ได้มาถ่ายทอดเกี่ยวกับการเลี้ยงผึ้ง ตั้งแต่ชนิดของผึ้งในประเทศไทย การคัดเลือกชนิดผึ้ง การเลี้ยง การปลูกพืชอาหารผึ้ง การออกแบบสวน ขั้นตอนการเก็บ การแยกขยายกล่อง ไปจนถึงกระบวนการผลิตน้ำผึ้งแบบธรรมชาติเพื่อให้ได้น้ำผึ้งคุณภาพที่ดีที่สุดในเวลาที่ดีที่สุด การวิเคราะห์คุณสมบัติอาหารฟังก์ชั่นของน้ำผึ้ง จนถึงการทำตลาด โดยเน้นการเลี้ยงผึ้งแบบเลี้ยงไว้กับพื้นที่และสามารถเลี้ยงได้ตลอดทั้งปี จัดหลักสูตรอบรมการเลี้ยงผึ้งชันโรงให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจ กระทั่งสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเครือข่ายทั่วประเทศได้เป็นจำนวนมาก อาทิ เกษตรกรกลุ่มเลี้ยงผึ้งพื้นเมืองและชันโรง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี, กลุ่มมละบริภูฟ้า ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้อบรมการเลี้ยงผึ้งชันโรงให้กับครูและเด็กโรงเรียนชายขอบระดับชั้น ป.1-ป.6 เพื่อเสริมทักษะการเลี้ยงผึ้งให้กับเด็กๆ ที่ขาดโอกาส เด็กที่ครอบครัวมีฐานะยากจนจะได้มีวิชาติดตัว สามารถนำรายได้จากการน้ำผึ้งและชันโรงไปเรียนต่อได้ หรือเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวโมเดลนี้เราเริ่มทำกันแล้วในพื้นที่ที่อยู่ชายขอบราชบุรีและค่อยๆ ขยายออกไปยังจังหวัดข้างเคียงทั้งเพชรบุรีและกาญจนบุรี”

ถ่ายทอดวิชาเลี้ยงผึ้งให้เยาวชนเพื่อเป็นอาชีพทางเลือกเมื่อออกจากระบบการศึกษา

รศ.ดร.อรวรรณ กล่าวว่า เราสอนการเลี้ยงผึ้งทุกชนิด สามารถเลือกที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ทุกชนิดที่สอนมีศักยภาพ มีความเป็นไปได้ในการเลี้ยงทั่วประเทศ หรือแม้แต่ผึ้งพันธุ์ของต่างประเทศก็สามารถเลี้ยงเป็นอาชีพได้แต่มีต้นทุนสูง ต้องเลี้ยงเป็นหลักร้อยรังขึ้นไป ถึงจะคุ้มทุน ต้องใช้เวลาในการดูแลค่อนข้างมาก และไม่สามารถเลี้ยงได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย ขณะที่ชันโรงสามารถเลี้ยงได้ทั่วประเทศ แม้แต่คอนโดฯ ก็เลี้ยงได้ และใครก็สามารถเลี้ยงได้ ผู้หญิง ผู้ชาย คนชรา หรือคนพิการ นักศึกษา นักเรียน อาชีพอะไรก็เลี้ยงได้ เนื่องจากชันโรงเป็นผึ้งขนาดเล็ก ไม่ต่อย ดูแลง่าย ใช้พื้นที่ไม่มาก ต้นทุนถูก แม้ปริมาณของน้ำผึ้งที่ได้ต่อรังจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผึ้งชนิดอื่น แต่สามารถผลิตน้ำผึ้งได้คุณภาพสูง แค่ตั้งกล่องรังไว้ 2-3 รัง ไม่ต้องให้อาหารอะไร ผึ้งก็ทำงานผสมเกสร จะได้น้ำผึ้งสูงสุด 1 กิโลกรัมต่อรัง ถ้าเป็นผึ้งโพรงจะได้น้ำผึ้ง 5-15 กิโลกรัมต่อรัง ส่วนผึ้งมิ้มจะได้น้ำผึ้ง 0.5-1.5 กิโลกรัมต่อรัง ราคาน้ำผึ้งรับซื้ออยู่ที่ 1,000-1,500 บาทต่อรัง ดังนั้น การเลี้ยงผึ้งจึงเหมือนการหยอดกระปุกค่อยๆ สะสมไป สามารถทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและกระจายรายได้

รศ.ดร.อรวรรณ ดวงภักดี และ อาจารย์ปรีชา รอดอิ่ม จากศูนย์ Bee Park
รศ.ดร.อรวรรณ ดวงภักดี หัวหน้าศูนย์ Bee Park

“นอกจากนี้ ชนิดของพืชอาหารยังเชื่อมโยงกับการผสมเกสรของผึ้ง ปริมาณน้ำหวานของพืชแต่ละชนิดสามารถนำมาใช้กำหนดปริมาณน้ำผึ้งที่ต้องการได้ ดังนั้น คุณภาพน้ำผึ้งจะต้องดูตั้งแต่ต้นทาง คือพืชอาหารที่ผึ้งชอบ จากงานวิจัยและผลการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการ (Lab) พบว่า พืชที่ให้น้ำหวานที่มีคุณภาพดีที่สุด ปลูกง่าย และไม่ต้องดูแลมาก อันดับหนึ่ง ได้แก่ “ดอกดาวกระจาย” เป็นดอกไม้ที่ให้น้ำผึ้งเกรดเอ โดยผล Lab ตรวจพบสรรพคุณทางยาที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบสูงถึง 97-98% ซึ่งมีสรรพคุณเทียบเท่าหรือเหนือกว่าน้ำผึ้งมานูก้าที่มีราคาแพง รองลงมาคือ “ดอกเสี้ยวป่า” เนื่องจากพบว่ามีสรรพคุณทางยาที่ให้สารต้านการอักเสบถึง 95% นอกจากนี้ ยังมี ดอกประดูป่า ดอกฟักทอง ดอกพิกุล ดอกหญ้า ดอกมะระ เป็นต้น ล่าสุด เตรียมขยายผลทำการวิจัยกับดอกกระจายเพิ่มอีก และภายในสิ้นปีนี้จะทำการศึกษาวิจัยกับดอกมะคาเดเมียและกาแฟ โดยพืชแต่ละชนิดที่ค้นพบนี้จะจัดทำเป็นตารางพืชอาหารผึ้ง เพื่อแสดงดัชนีพืชอาหารให้เห็นรอบปีการปลูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรสามารถนำใช้ประกอบการปลูกพืชอาหารผึ้งในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ ก่อนจะเก็บน้ำผึ้งควรปล่อยให้จุลินทรีย์และเอนไซม์ทำงานเต็มที่ เพราะน้ำผึ้งที่มีคุณภาพสูงจะต้องมีความชื้นเหลืออยู่ที่ 22-21% นอกจากนี้ หากพืชเริ่มต้นน้ำหวานมีคุณสมบัติทางยา เมื่อเป็นน้ำผึ้งจะเข้มข้นขึ้น ตั้งแต่ 10-100 เท่า เมื่อผสานกับนวัตกรรมการการบ่มน้ำผึ้งที่ให้จุลินทรีย์และเอนไซม์ ยิ่งทำให้น้ำผึ้งมีความเป็นยามากขึ้น เป็นตัวอย่างที่เราค้นพบและนำมาสอนให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ” รศ.ดร.อรวรรณ กล่าว