สวนผักหลังบ้าน

บทบาทของผู้มีรายได้จากเงินเดือน จำต้องแสวงหาความก้าวหน้าในตำแหน่งและเงินเดือนที่จะเพิ่มขึ้นตามความรับผิดชอบ ยิ่งนานความรู้สึกยิ่งกดดัน ยิ่งห่างเหินจากความสุข เพราะว่าเป้าหมายเราทำงานเพื่อเงินและตำแหน่ง ในใจลึกๆ มักโหยหาอดีตที่เคยวิ่งเล่นหลังบ้าน ในสวนของพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือสวนของคนอื่น ความรู้สึกนั้นจะกลับคืนมาเสมอเมื่อเกิดความเครียดในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน การคร่ำเคร่งกับการจราจรในเมืองใหญ่ การที่ต้องเลี้ยงดูลูกเต้าเป็นภาระและหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ความกดดันของเด็กในเรื่องการศึกษาในโรงเรียนก็มากกว่าเด็กในชนบท

เพาะเมล็ดกับทิชชู

ช่วงก่อน นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ได้จัดงานเกษตรในห้างสรรพสินค้าหลายครั้ง มีโอกาสได้ไปช่วยงานทุกครั้ง มักมีคนมาคุยที่บูธบ่อยๆ เรื่อง “อยากลาออกไปทำเกษตรบ้าง จะเริ่มต้นยังไงดี” คำถามนี้ยอดฮิตเลยสำหรับคนเมือง ได้สอบถามความพร้อมหลายอย่างที่น่าจะเป็นตัวตัดสินได้ว่าควรไปทำเกษตรไหม มักจะไม่ผ่านความพร้อมนี้ แต่ก็เห็นความมุ่งมั่นในแววตาทุกคน หวังว่าในโอกาสต่อไปคงจะได้พบท่านเหล่านั้นในวงการเกษตร และได้ถูกนำมาเขียนให้อ่านเพื่อเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ บ้าง

หลังลงถาดเพาะ
ลงถาดเพาะ

คุณปรเมนทร์ ประมะโข หรือ คุณต้น จบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จาก วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม เมื่อปี 2558 ได้ทำงานเป็นช่างคอมพิวเตอร์ในร้านซ่อมได้ปีหนึ่ง ได้ลาออกมาช่วยกิจการที่บ้าน คือทำฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านปศุสัตว์ โดยเป็นการเลี้ยงสัตว์ตามพันธะสัญญา ทำอยู่ประมาณ 6-7 ปี ขาดทุนสะสมจนไม่สามารถไปต่อได้ จึงได้มาทดลองทำฟาร์มไก่ไข่ส่วนตัว พอลงทุนค่าอุปกรณ์ไปประมาณ 5 แสน ราคาไข่ตกต่ำลงมา เมื่อคิดคำนวณในกระดาษยังขาดทุน จึงล้มเลิกไป ต่อมาคุณต้นได้ทดลองทำไก่ไข่เองส่วนตัว ปรากฏว่าราคาไข่ตกต่ำอีกจนต้องเลิกไป จึงหันมาปลูกพืชบนพื้นที่ของครอบครัว เช่น พริก มะเขือ คะน้า และมะเขือพวง ช่วงนั้นมะเขือพวงราคาดี กิโลกรัมละ 80-100 บาท จึงปลูกมะเขือพวง 2 ไร่ ผลผลิตตกวันละ 30 กิโลกรัม มีรายได้วันละ 2,400-3,000 บาท ส่วนใหญ่จะมีแม่ค้ามารับหรือส่งตลาดขายส่งใหญ่ในมหาสารคาม และส่วนหนึ่งได้ขายในตลาดนัดแถวบ้านสัปดาห์ละ 3 วัน

วัสดุปลูก
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงที่ใช้

ประสบการณ์สอนเรา

ในช่วงนี้เห็นช่องทางการตลาดก็รับซื้อจากชาวบ้านเอามาขายในตลาดเพื่อให้ผักของเรามีความหลากหลายยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเริ่มศึกษาการปลูกไฮโดรโปนิกส์ โดยปลูกขึ้นฉ่ายเป็นอันดับแรก ลงทุนไปมากพอสมควร เนื่องจากอุปกรณ์และปุ๋ยที่เป็นธาตุอาหารมีราคาแพง ช่วงแรกราคาและผลผลิตดีมาก ต่อมามีการทำกันมาก จากราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท เหลือราคาแค่ 10-20 บาท ก็เป็นอันต้องล้มเลิกการปลูกขึ้นฉ่ายอีก หันมาปลูกผักสลัดไฮโดรโปนิกส์ก็มีปัญหา เนื่องจากต้องใช้เวลาเอาใจใส่มากและธาตุอาหารมีราคาแพง ประกอบกับต้องวิ่งขายตามตลาดนัดและวิ่งส่งตลาดใหญ่ จึงต้องเลิกราอีกครั้ง

ผักลงแปลง

แต่นั่นเป็นแค่อุปสรรคที่ต้องก้าวผ่าน ไม่ได้มีไว้ให้ท้อถอย ในระหว่างที่ปลูกผักก็มีการนำมาจำหน่ายตลาดนัดทำให้มีลูกค้าขาประจำและมีแม่ค้าจากร้านอาหารมาสั่งผัก เนื่องจากมั่นใจในคุณภาพ จึงเน้นการทำตลาดอยู่พักหนึ่งด้วยการทำข้อตกลงกับลูกทีมที่เห็นว่าทำการเกษตรอินทรีย์จริงๆ โดยนำผลผลิตมาจำหน่ายให้กับแม่ค้า พอตลาดเริ่มอยู่ตัวก็หันมาปลูกผักสลัดอีก แต่คราวนี้ไม่ปลูกไฮโดรโปนิกส์เหมือนเดิมแล้ว แต่หันกลับมาปลูกดินแทน โดยมีทั้งการปลูกลงดินเลยกับปลูกบนโต๊ะ

ผักสลัดอิตาลี
สวยเต็มแปลง 

วิธีปลูกผักกาดหอมอิตาลี หรือผักกาดหอมจีน

นำเมล็ดผักมาโรยหรือเรียงในแผ่นทิชชูเปียก วางในกล่องพลาสติกใส ทดลองตะแคงดูหากมีน้ำไหลให้เทออก ปิดฝากล่องนำไปไว้ในที่ร่ม ประมาณ 2 วัน รากจะออกเป็นสีขาวและมีใบอ่อนเกิด นำออกมาให้เจอแสงรำไรโดยยังไม่เปิดฝากล่อง พอแค่มีแสงสว่าง ใช้เวลาประมาณ 5 วัน ใบจะเริ่มใหญ่ค่อยนำมาใส่ถาดเพาะ หลุมละ 1 ต้น สามารถปลูกได้ในตอนเช้าหรือเย็น โดยหลีกเลี่ยงตอนแสงแดดจัด ในหลุมเพาะใช้วัสดุปลูกคือ พีทมอส ขุยมะพร้าว มูลไส้เดือน และดิน อย่างละส่วน ร่อนให้ละเอียด ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นงัดต้นขึ้นมาอย่าให้รากขาด เมื่อปลูกแล้วก็รดน้ำด้วยหัวพ่นฝอยไม่ให้ต้นช้ำ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น โดยนำมาวางไว้บนโต๊ะที่เตรียมไว้สำหรับปลูกเพื่อรับแดด แต่ต้องอยู่ภายใต้ซาแรน ผักจะอยู่ในถาดเพาะประมาณ 15 วัน ต้นจะสมบูรณ์ สูงประมาณ 1.5-2 นิ้ว ใบมี 4-5 ใบ

ตัดส่งลูกค้า

แปลงปลูกจะใช้เครื่องปลูกที่ผสมขุยมะพร้าว แกลบดำ แกลบเก่า ดิน ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักพืชสด รดน้ำให้ชุ่ม รดจุลินทรีย์ทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ ระหว่างนั้นรดน้ำไว้วันละ 1 ครั้ง แล้วเอาฟางคลุมแปลงเพื่อรักษาความชื้น บนโต๊ะปลูกจะกว้าง 120 เมตร ยาว 4 เมตร ปลูกได้ 150 ต้นพอดี ระยะต้น 25 เซนติเมตร ได้ 6 แถวเรียงไป ใช้ผักในถาดประมาณถาดครึ่ง การใช้น้ำรด ใช้สายยางแบบใช้มือบีบให้ฝอยเพื่อจะได้ดูผักไปด้วย วิธีนี้จะทำให้รู้ว่ารดน้ำทั่วถึงหรือไม่ ส่วนจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ใช้ฝักบัวรดทุกๆ 3-5 วัน ใช้เวลาประมาณ 45 วัน ก็จะเริ่มตัดผักออกจำหน่าย ไม่เกิน 50 วัน ผักก็จะถูกตัดหมดแปลง

คุณต้น

การทำตลาด

ปัจจุบัน คุณต้นจะส่งผักให้ร้านค้าทุกวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ ส่วนการส่งผักออนไลน์จะส่งทุกวัน แต่ก่อนส่งจะต้องตรวจสอบกับเอกชนผู้ขนส่งก่อน ถ้าส่งวันนี้พรุ่งนี้จะต้องถึง โดยจะเอาที่อยู่ลูกค้าเช็กกับขนส่ง ถ้าไม่ได้ภายในพรุ่งนี้ก็จะยกเลิกไม่ส่งสินค้าให้ ถ้าลูกค้ายืนยันต้องการรับก็จะส่งให้ แต่ไม่รับประกันของเสียหาย สำหรับการส่งต่างจังหวัดทางภาคอีสาน ภาคเหนือ และปริมณฑลของกรุงเทพฯ จะไม่มีปัญหา แต่กรุงเทพฯ ชั้นในของมักจะค้าง เกิน 2 วัน ส่วนราคาผักจะขายในกิโลกรัมละ 120 บาท ส่วนค่าขนส่งอยู่ประมาณ 60 บาท

น้ำหนักดีมากครับ

ผลิตภัณฑ์ของคุณต้น นอกจากผักสดหลากหลายชนิดแล้ว ยังมีจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ขวด 1.5 ลิตร ขาย 80 บาท ค่าส่ง 40 บาท มูลไส้เดือน 3 กิโลกรัม 100 บาท ค่าส่ง 50 บาท น้ำมูลไส้เดือน 1 ลิตร 120 บาท ค่าส่ง 50 บาท น้ำหมักปลา 1 ลิตร 130 บาท ค่าส่ง 50 บาท เมล็ดผักกาดอิตาลี 400 เมล็ด 50 บาท ค่าส่ง 30 บาท ถ้าสั่ง 10 ซอง ส่งให้ฟรี

คุณต้น คุณจูน

ปัจจุบัน บนพื้นที่ 2 งาน การปลูกผักสลัดจะทำบริเวณหน้าบ้านและหลังบ้าน ที่อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด สามารถเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ โดยใช้แรงสองคนสามีภรรยา อันมีลูกสุดที่รักเป็นแรงบันดาลใจ เรื่องราวของ คุณต้น ปรเมนทร์ และ คุณจูน เบญจวรรณ ประมะโข เป็นเพียงการทำเกษตรเล็กๆ หลังบ้าน แต่ก็สามารถเป็นตัวอย่างให้กับผู้มีความสนใจที่มีพื้นที่จำกัดที่ต้องการประกอบอาชีพเกษตรได้เป็นอย่างดี

แพ็กส่งลูกค้า
ไว้ออกงานโชว์

หลายคนที่มองภาพเกษตรเป็นภาพขนาดใหญ่ที่มีแปลงปลูกยาวสุดตา มีคนงานเป็นสิบ มีเครื่องจักรเครื่องทุ่นแรงมากมาย มีรถสิบล้อเข้ามารับผลผลิตเพื่อไปส่งให้ตลาดขายส่งขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ นั่นคือเกษตรกรที่ประสบผลสำเร็จ แล้วได้ลงมือทำตามฝันที่ต้องลงทุนมหาศาลโดยที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์ การเกษตรแบบนี้มักจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่การเกษตรโมเดลเล็ก ที่ทดลองทำลองผิดลองถูกต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่นำไปสู่การเกษตรขนาดใหญ่ตามที่ฝัน

หน้าร้านในตลาด

ติดต่อซื้อผักหรือผลผลิตของสวนผักหลังบ้าน ได้ที่ เฟซบุ๊ก สวนผักหลังบ้าน ที่มีผู้ติดตามเกือบ 4 หมื่นคน หรือโทรศัพท์ 098-630-4703