ผู้เขียน | กรรณิกา เพชรแก้ว |
---|---|
เผยแพร่ |
เรารู้จักซาอุดีอาระเบียว่าเป็นเศรษฐีน้ำมัน ร่ำรวยน่าอิจฉา แหล่งขุดทองของแรงงานไทยเมื่อ 30 กว่าปีก่อน (แล้วตอนนี้ก็พยายามจะกลับไปจุดนั้นให้ได้ แต่ยากละนะ บอกเลย) เรื่องราวของแรงงานไทยกลับบ้านพร้อมเงินก้อนโตในชีวิตของแต่ละคน
สำนวน “เศรษฐีซาอุ” มีทำนองล้อเลียนแกมชื่นชม สำนวน “ไปซาอุเสียนา กลับมาเสียเมีย” ก็มีไว้สำหรับคนพ่ายแพ้
เรารู้ว่าเขารวย และเป็นประเทศร้อนระอุกลางทะเลทราย นอกจากน้ำมันแล้วแทบจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอื่นใด ใช้เงินซื้อทุกอย่าง
บางคนบอกว่าเขาอาจไม่มีความจำเป็นต้องทำมาหากินในเมื่อรวยล้นเช่นนั้น
แต่เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น เขารู้ว่าน้ำมันมีวันจะหมดไป การสร้างประเทศให้ยืนอยู่บนขาตัวเองในระยะยาวเป็นเรื่องที่ต้องทำ
และอย่าลืมว่าพื้นเพของพวกเขาคือชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย ก่อนจะมาร่ำรวยก็เคยใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่ทารุณโหดร้ายมามากพอ ดังนั้น เขาไม่หยิบโหย่ง
เศรษฐีก็มีความลำบากประสาเศรษฐี ซาอุดีอาระเบียพยายามจะแก้ปัญหาความขาดแคลนทรัพยากรของตัวเองโดยการใช้เงินซื้อ นอกจากสั่งซื้อเอาโต้งๆ แล้ว เขายังไปลงทุนทั่วโลก พยายามผลิตอาหารกลับมาป้อนประเทศตัวเอง แต่ไม่ราบรื่นไปเสียทั้งหมด เคยไปซื้อที่ดินในรัฐอริโซนาของสหรัฐอเมริกา ทำฟาร์มหญ้าส่งกลับมาเลี้ยงวัวตัวเองที่ประเทศ เสียต้นทุนขนส่งอักโข ต้นทุนแพงลิบลิ่ว แถมเจอคนอเมริกาต่อต้าน “แกเอาน้ำบ้านฉันไปรดหญ้าให้วัวแกกินนี่หว่า”
30 กว่าปีมานี้ ซาอุดีอาระเบียจึงพยายามจะลดการพึ่งพาอาหารจากนอกประเทศ จากประเทศที่ไม่มีพื้นที่การเกษตรเพราะไม่มีแม่น้ำแหล่งน้ำใดๆ ซ้ำฝนตกปีละ 4 นิ้วต่อปี เป็นหนึ่งในประเทศที่มีฝนตกน้อยที่สุดของโลก น้อยขนาดไหนให้เทียบกับของไทยที่เฉลี่ย 61 นิ้วต่อปี
ในอดีต การเกษตรในคาบสมุทรอาระเบีย มีอยู่บ้างก็แค่การปลูกผักไว้กินในโอเอซิสที่กระจัดกระจายทั่วไป ยกเว้นในแถบชายฝั่งทะเลเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทร (เขาเป็นทะเลทราย แต่ก็ติดทะเลแดง และติดอ่าวเปอร์เซีย) ที่พอจะมีเกษตรกรรมแปลงเล็กๆ ผลิตอาหารเพียงพอสำหรับชุมชนท้องถิ่น หรือขายให้กองคาราวานที่ผ่านไปมา
รัฐบาลหันมาสนับสนุนการทำเกษตรอย่างเต็มที่ เน้นการเกษตรสมัยใหม่ สร้างถนนในชนบท สร้างเครือข่ายชลประทาน สร้างคลังสินค้าส่งเสริมการส่งออก ส่งเสริมการวิจัยและฝึกอบรมด้านการเกษตร
ภายใน 30 ปีทะเลทรายกลายเป็นทุ่งเกษตรกรรมหลายล้านไร่ เขียวขจีเหมือนโอเอซิสขนาดใหญ่
ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบียไม่ใช่แค่ไม่ต้องนำเข้าอาหาร แต่ยังส่งออกข้าวสาลี อินทผลัม ผลิตภัณฑ์นม ไข่ ปลา สัตว์ปีก ผลไม้ ผัก และดอกไม้ไปยังตลาดทั่วโลก
ในการนี้เขาทำงานกันเป็นทีม กระทรวงเกษตรกำหนดนโยบายและส่งเสริมเต็มที่ในทุกทาง หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ อย่างธนาคารเกษตรแห่งซาอุดีอาระเบีย (SAAB) ให้ทั้งเงินอุดหนุนและเงินกู้ระยะยาวปลอดดอกเบี้ย องค์การไซโลข้าวและโรงสีแป้ง ซื้อและจัดเก็บข้าวสาลี สร้างโรงผลิตแป้ง ผลิตอาหารสัตว์ รับซื้อผลผลิตในราคาประกัน รัฐบาลยังมีโครงการแจกจ่ายที่ดินให้เกษตรกร พร้อมช่วยพัฒนาดินเต็มที่จนเหมาะสำหรับการเพาะปลูก มีโครงการวิจัย มีกองทุน มีสิ่งจูงใจ เช่น เมล็ดพันธุ์และปุ๋ยฟรี น้ำ เชื้อเพลิง และไฟฟ้าราคาถูก การนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และสินค้าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องล้วนปลอดภาษี
แน่นอนว่าน้ำคือกุญแจสำคัญ เขาประสบความสำเร็จในการจัดหาน้ำปริมาณมหาศาลที่จำเป็นต่อเกษตรกรรม
แหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดและไม่มีใครนึกถึงคือน้ำใต้พิภพ เห็นเป็นทะเลทรายอย่างนั้นใต้แผ่นดินซาอุดีอาระเบียมีน้ำที่สะสมไว้ตั้งแต่ครั้งแผ่นดินแถบนี้ยังมีน้ำอุดมสมบูรณ์ น้ำจากธารหิมะที่สะสมอยู่ใต้ดินมาหลายพันปี มีปริมาณมหาศาลถึง 500 ลูกบาศก์กิโลเมตร ใหญ่กว่าบึงบอระเพ็ดที่เป็นทะเลสาบน้ำจืดใหญ่ที่สุดของไทย 120 เท่า ตองเลสาบ ทะเลน้ำจืดใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ในยามน้ำขึ้นเต็มที่ก็ยังเก็บน้ำได้น้อยกว่ามาก
เขาเจาะท่อลึก 1 กิโลเมตร ดึงน้ำขึ้นมาใช้ ขุดกันนับหมื่นบ่อเลยทีเดียว เขาสร้างเขื่อนไว้ดักน้ำฝนที่มีน้อยมาก ไม่ให้หลุดมือแม้แต่หยดเดียว
เขายังสร้างโรงผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตน้ำกลั่นน้ำทะเลรายใหญ่ที่สุดในโลก สถานีกลั่นน้ำทะเล 27 แห่งผลิตน้ำดื่มได้มากกว่า 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน มากกว่าร้อยละ 70 ของน้ำที่ใช้ในเมือง
น้ำเสียในเมืองเขาก็นำมาใช้ในการเกษตร เขามีเป้าหมายจะรีไซเคิลน้ำให้ได้มากถึงร้อยละ 40 ของน้ำที่ใช้เพื่อการอุปโภคในเขตเมือง โรงงานรีไซเคิลน้ำมีในเมืองหลวงริยาด เมืองใหญ่อย่างเจดดาห์ และศูนย์อุตสาหกรรมในเมืองใหญ่อื่นๆ
จึงไม่แปลกที่ที่ดินเพาะปลูกน้อยที่นับรวมทั้งประเทศมีไม่ถึงล้านไร่ในปี 2519 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3 ล้านไร่แล้ว
ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียมีฟาร์มโคนมที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง น้ำนมมีอัตราผลผลิตต่อปีสูงเกือบ 7,000 ลิตรต่อวัว 1 ตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในโลก
ฟาร์มเลี้ยงปลาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ตามชายฝั่งทะเลแดง กุ้งกุลาดำของบริษัท “Al-Rubian” ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นนั่นเลยทีเดียว
จากผู้นำเข้าเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลี ปี พ.ศ. 2521 เขามีผลผลิตมากพอจนต้องสร้างไซโลธัญพืชแห่งแรกของประเทศขึ้น ตอนแรกก็เพื่อเก็บไว้บริโภคภายในประเทศ ไม่นานจากนั้นก็เริ่มส่งออกไปยังประมาณ 30 ประเทศ รวมทั้งจีนและอดีตสหภาพโซเวียต และในพื้นที่ผลิตหลักอย่างเมืองตะบูก ฮาอิล และกอซิม ผลผลิตข้าวสาลีเฉลี่ยสูงถึงไร่ละตันกว่าๆ
เขาผลิตผักและผลไม้โดยใช้เทคนิคการเกษตรสมัยใหม่ สร้างถนนเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภคในเมือง ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ส่งออกผักและผลไม้รายใหญ่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พืชที่ให้ผลผลิตมากที่สุด คือแตงโม องุ่น ผลไม้รสเปรี้ยว หัวหอม มะเขือเทศ นี่กำลังเริ่มผลิตผลไม้เมืองร้อน อย่างสับปะรด กล้วย มะม่วง และฝรั่งด้วยแล้ว
แต่ทุกอย่างก็มีต้นทุน มีราคา มีความเจ็บปวด
ทุกปีซาอุดีอาระเบียสูบน้ำใต้พิภพขึ้นมาใช้กว่า 21 ลูกบาศก์กิโลเมตร ผ่านไปหลายสิบปีตอนนี้มันก็ใกล้จะหมดแล้ว
แหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่ซ่อนตัวใต้สถานที่ที่ร้อนที่สุดและแห้งแล้งที่สุดของโลก กำลังจะหมดสิ้นในเวลาเพียงชั่วอายุคน