ผู้เขียน | วิภาวรรณ เพ็ชรศรี |
---|---|
เผยแพร่ |
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ชูกลยุทธ์ธุรกิจ 3S : Strength-Synergy-Sustainability ขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงาน ยังคงเป็นเป้าหมายหลักที่จะสร้างรายได้เสริมหนุนองค์กร ในปี 2566 บริษัทจะมีการรับรู้กำลังการผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีก 1,207.13 เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนในปี 2566 จำนวน 35,000 ล้านบาท โดยจะใช้ขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจำนวน 29,000 ล้านบาท และธุรกิจนอกภาคไฟฟ้า (Non-Power Business) อีก 6,000 ล้านบาท บริษัทคาดว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566 จะเติบโตดีขึ้น โดยบริษัทมีเป้าหมาย EBITDA ไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท

คุณชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ธุรกิจของบริษัท ปี 2566-2570 มุ่งเน้นเป้าหมาย 4 ด้าน ได้แก่ 1. การเติบโตของผลตอบแทน โดยตั้งเป้าหมาย EBITDA เติบโตจาก 12,000 ล้านบาทในปีนี้ เป็น 15,000 ล้านบาทในปี 2570 2. การขยายธุรกิจ Non-Power กำหนดเงินลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ในปีนี้ และปี 2570 ธุรกิจนี้จะสร้างรายได้เข้ามาเสริมให้บริษัท ร้อยละ 5 3. เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน ให้ได้ร้อยละ 20 ของกำลังการผลิตรวม และเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป 4. พัฒนาการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล และเตรียมความพร้อมสำหรับการประกาศความมุ่งมั่นความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2570

การดำเนินงานในปี 2566 จะยังคงใช้กลยุทธ์ 3S : Strength-Synergy-Sustainability ซึ่งมีเป้าหมายที่สอดประสานกันในการสร้างการเติบโตของบริษัท เราจะใช้กลยุทธ์ S2-Synergy ในการผนึกกำลังกับพันธมิตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทในการแข่งขันและลงทุนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทจะใช้บริษัทร่วมทุน เน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี อินเวสเมนท์ (NREI) เป็นกลไกในการเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วในประเทศออสเตรเลีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ จำนวน 8 โครงการ กำลังการผลิตรวมประมาณ 843 เมกะวัตต์ ให้สามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ให้ได้ตามเป้าหมาย ตามแผนกำลังการผลิตของบริษัท จะมีกำลังผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นในปี 2567 รวม 518.66 เมกะวัตต์ ปี 2568 เพิ่มขึ้นอีก 918.20 เมกะวัตต์ ปี 2570 และ ปี 2573 เพิ่มขึ้นอีก 252.77 เมกะวัตต์ และ 213 เมกะวัตต์ ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสขยายการลงทุนในเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการพลังงานทดแทน และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ส่วนกลุ่มธุรกิจ Non-power จะมุ่งเน้นที่ธุรกิจบริการสุขภาพโดยยังคงจับมือกับกลุ่ม PRINC ด้านนวัตกรรมยังดำเนินการผ่านบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด อีกทั้งยังมีการศึกษาความเป็นไปได้การพัฒนากรีนไฮโดรเจน โดยมีแผนจะดำเนินการนำร่องในออสเตรเลียเป็นแห่งแรก

“นอกจากนี้ บริษัทยังจะดำเนินการแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีความก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ในปีนี้ บริษัทมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตให้ได้ 30,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง 20% และพัฒนาคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนอีก 10,000 ไร่ โดยบริษัทจะได้เข้าร่วมในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์” คุณชูศรี กล่าว
สำหรับ โครงการที่บริษัทจะรับรู้รายได้ในปีนี้ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติสแน็ปเปอร์ พ้อยท์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม ลินคอล์น แก็ป 1&2 ในออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าพลังน้ำคอดซาน และซองเกียง 2 และโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ในเวียดนาม สำหรับการเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน ในอินโดนีเซีย บริษัทคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ศกนี้

ทั้งนี้ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยจะร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนการจัดการคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่า ผ่านกลไกการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชน ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
การนี้ บริษัทและมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยคุณชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือ โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พื้นที่ป่าชุมชน 10,000 ไร่ และ คุณนวพล ดิษเสถียร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารองค์กร บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ขวาสุด) และ คุณธนพงศ์ ดวงมณี ผู้อำนวยการด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ซ้ายสุด) ร่วมลงนามเป็นพยาน
ภายใต้โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัทและมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกันดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 10,000 ไร่ด้วยการพัฒนาศักยภาพชุมชน ในการรักษา ฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติป่าชุมชน และสนับสนุนชุมชนในการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (“อบก.”) เพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิต ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลป่าให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน
คุณชูศรี ยังกล่าวอีกว่า ความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานจัดการคาร์บอนเครดิตจากป่าไม้ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นแนวทางที่ 3 ของกลยุทธ์รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบริษัท ในเบื้องต้น บริษัทมีแผนงานที่จะจัดการคาร์บอนเครติตจากป่าไม้ ประมาณ 50,000 ไร่ ภายในปี 2568 สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ ได้ดำเนินการต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทได้สนับสนุนการจัดการคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชน จำนวน 1,000 ไร่ โครงการนี้นอกจากประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตแล้ว ยังช่วยต่อยอดภูมิปัญญาของชุมชนในการจัดการป่าอย่างยั่งยืนตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ 13 ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายที่ 15 การปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้ที่ยั่งยืนอีกด้วย