เผยแพร่ |
---|
ชื่อวิทยาศาสตร์ Donax canniformis (G.Foreat) K.Schum
ชื่อวงศ์ MARANTACEAE
ชื่ออื่นๆ แหย่ง หย่าง กะเตียง คล้าย คล้า
ครึ้มฟ้าครึ้มฝน แต่ไม่คลุ้มคลั่ง จัดเป็นบรรยากาศที่ดี อย่าเพิ่งตีความกับชื่อ “คลุ้ม” ของฉันว่ามืดครึ้ม เพราะปีนี้เป็นวันเริ่มปีใหม่ที่สดใส จะได้ “สวัสดีปีใหม่” กับทุกท่านว่าได้พบเจอ Happy New Year พ.ศ. 2567 อาจจะมีน้อยคนที่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อนี้ ฉันเองก็มีปัญหากับตัวเองว่า ในโลกนี้ไม่น่าจะมีอะไรที่ชื่อเหมือนฉัน เพราะไม่ว่าออกสำเนียงหรือความหมายไม่สร้างสรรค์จริงๆ และคิดว่าคงไม่มีใครรู้จักคำนี้ แต่ที่ไหนได้ ทั้งชื่อคนและคำนี้ใช้มาตั้งแต่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ยืนยันมีคำว่า “คลุ้ม” มาไม่น้อยกว่า 275 ปีแล้ว ด้วยว่าเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์หรือเจ้าฟ้ากุ้ง กวีเอกพระราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงวรรณคดีกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก แสดงความอาลัยรัก ที่มีต่อนางด้วยรำพันคร่ำครวญ ทุกยามตั้งแต่เช้ายันค่ำจวบดึกจนรุ่งสาง ในคราวที่ต้องตามเสด็จพระราชบิดาไปทรงนมัสการและสมโภชรอยพระพุทธบาทสระบุรี
รวมทั้งกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง ซึ่งทรงพระนิพนธ์ก่อน พ.ศ. 2298 ด้วยกาพย์ยานีหนึ่งบทสลับโคลงสี่สุภาพหนึ่งบท พรรณนาอาวรณ์นางในเวียงวัง ช่วงหนึ่งว่า “พิศงามตามนะลาต สายสุดสวาทผาดผายผึง ราบผ่องดวงพอพึง ฤๅดีกลุ้มคลุ้มดวงแด ห่อด้วยโคลงว่า พิศพรรณนะลาตเจ้า ใครถึง สุดสวาทผาดผายขึง อ่าหน้า ราบผ่องดวงพอพึง ใจโลก ยวลฤดีในหล้า คลั่งคลุ้มใฝ่ฝันฯ โดยปรากฏตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ วิทยาจารย์ รศ. 130 (พ.ศ. 2454) บทที่ 39 ในสองบาทแรกขึ้นว่า เพลาห้าทุ่มพี่ คะนึงใน เพลิงผ่าวเผาดวงใจ คลั่งคลุ้มฯ จะเห็นว่าคำ “คลุ้ม” ปรากฏแล้วในวรรณกรรมโคลงกลอนตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
ในปี พ.ศ. 2450 วันที่ 17 มิถุนายน มีเด็กชายคนหนึ่งกำเนิดมาชื่อ “คลุ้ม วัชโรบล” ได้ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ ต่อมาได้เป็นราชบัณฑิตในสำนักวิทยาศาสตร์รุ่นแรกด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ พ.ศ. 2485 มีความรู้ทางชีววิทยาเขียนตำราและบัญญัติศัพท์ พร้อมทั้งศึกษาทางวิญญาณ การระลึกชาติ และพลังจิต ได้ดำรงตำแหน่ง ศาสตราจารย์ พ.ศ. 2515 และเสียชีวิต วันที่ 7 ธันวาคม 2530 ท่านคือ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล ฉันจึงรู้สึกภูมิใจที่ชื่อฉันไม่โดดเดี่ยว แม้ว่าถูกตีความและมีความหมายเชิงลบ มืดมัวทั้งคำและคน ฟังดูโบราณ แต่ด้านอารมณ์ในโคลงกลอนและชื่อเสียงด้านวิชาการมีความโดดเด่นกว่าคำทั่วไปยิ่งนัก เพราะมีคำทั้งในภาษาไทยและต่างประเทศ เช่นคำว่า “คลุ้ม” หมายถึงมืดมัว ครึ้ม ไม่แจ่มใส มีคำศัพท์ว่า cloudy, foggy misty หากมีคำร่วมว่า “คลุ้มคลั่ง” มีคำศัพท์มากมาย เช่น maniac, go amuck บ้า วิกลจริตต้องพบหมอ mania กลัดกลุ้มใจออกอาการ be mad, be craed. จึงมีผู้ขึ้นคำกลอนว่า “เธอคลุ้มคลั่ง ฉันบ้า ดูท่าเหมาะ ทีวีเกาะ ทำข่าว คนกล่าวขวัญฯ” แต่ฉันมีข้อคิดว่า “แม้ฟ้าจะมืดครึ้ม ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่คลุ้มคลั่ง”
จากชื่อ “คลุ้ม” ของฉันฟังแล้วเหนือนคนมีปมด้วยต้องเก็บตัวเงียบๆ เปรียบภาษาทางจิตวิทยาว่า “shut-in” แต่สำหรับชาวบ้านบางพื้นที่ หมู่บ้านหรือจังหวัด รู้จักฉันในนามไม้พุ่มกอให้ประโยชน์ “คุ้มค่า” ยิ่ง คือจัดเป็นพืชอายุยืนหลายฤดูหลายปี เนื่องจากเป็นไม้เนื้ออ่อนมีทั้งลำต้นตั้งตรงและเป็นแบบกึ่งเลื้อย ที่ว่าอยู่ได้เหมือนไม้ยืนต้นเพราะมีเหง้าหรือหัวอยู่ใต้ดิน สามารถแตกหน่อได้ ลำต้นเป็นสีเขียวเข้มออกเป็นข้อๆ มีถิ่นกำเนิดธรรมชาติริมน้ำหรือโคลนริมคลองริมธารหุบเขา ใบรูปไข่เรียว จากข้อปล้องรวมทั้งก้านและใบสูงยาวได้กว่า 2 เมตร โดยเฉพาะกาบใบยาว ก้านใบเนื้อเหนียว ออกดอกจำนวนมากที่ปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบอิสระสีขาว กลีบ 3 กลีบเชื่อมปลาย มีเกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบ ผลกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-3 เซนติเมตร สีขาวหรือสีเขียว เมล็ด 1-3 รูปรี ลักษณะเมื่อรวมพุ่มกอจะคล้ายๆ กับต้นไผ่ไม่มีปล้องหรือแขนงตามลำต้นผิวเรียบ ผ่าลอกเหลาได้เป็นเส้นเหนียว ดัดเป็นรูปทรงจักสานให้ความคงทนสวยงามกว่าพืชชนิดอื่นๆ ในด้านสมุนไพรใช้หัวใต้ดิน เป็นยาแก้ผื่น ตุ่ม ผด โรคผิวหนังได้ด้วย
เรื่องราวของฉันในตำราพฤกษาศาสตร์มีน้อย ทำให้ไม่ค่อยมีคนรู้จักในเชิงวิชาการ แต่ในด้านประโยชน์ใช้สอยกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ “คุ้มค่า” สำหรับงานฝีมือจักสานส่งต่อภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ครัวเรือน เครื่องใช้ด้านแฟชั่นสุภาพสตรี พัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่น โดยชมรมแม่บ้าน ร่วมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสร้างรายได้และอนุรักษ์สืบสานงานหัตกรรมชุมชนในรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ซึ่งจักสานจากต้นคลุ้ม เป็นคู่แข่งกับไม้ไผ่หรือหวาย เนื่องจากคลุ้มเมื่อลอกออกมีผิวเรียบ มีความเหนียวไม่ม้วนห่อไม่หุบหรือแตกหัก ดัดรูปทรงง่ายคงทน มอดไม่กิน ราไม่ขึ้น คุณสมบัติดังกล่าวจึงนิยมนำมาจักสานตั้งแต่โบราณ เช่น ฝาชี ตะกร้า กระบุง มาถึงยุคปัจจุบันที่ยังสามารถสั่งซื้อได้ทางเฟซบุ๊ก อย่างเช่น แบรนด์ “วังคลุ้ม” ออกแบบลวดลายขึ้นรูปจักสานลายฟอสซิลแสดงเอกลักษณ์ผลิตภัณฑ์ในเขตอุทยานธรณีโลกสตูล สามารถร่วมออกแบบซื้อ สั่งซื้อผ่านเฟซบุ๊ก หรือบูธสินค้า ส่งเสริมวิถีชีวิตเศรษฐกิจรากฐานแล้วต่อยอดเป็นสินค้าสากลถึงต่างประเทศ มีจุดขายด้วยการบริการหลังการขาย มีชำรุดซ่อมแซมให้ด้วย เป็นที่นิยมผลิตเครื่องใช้สุภาพสตรี เช่น กระเป๋าถือ กล่องทิชชู กระเป๋าบุผ้า แจกัน ภาชนะใส่กระป๋องน้ำ มีทั้งลวดลายสองลายขัด ทำรายได้ให้กลุ่มชุมชน ระดับชิ้นละ 350-2500 บาท ได้รับการรับรองมาตรฐาน มผช. 118/2559 สำหรับ “คลุ้ม” ที่เป็นพืชพื้นถิ่นในอำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับการส่งเสริมมูลนิธิไทยรักษ์ป่า องค์กรสาธารณกุศล ที่เอ็กโกกรุ๊ปก่อตั้ง อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ เข้าดำเนินการสนับสนุนกลุ่ม “จักสานคลุ้ม” ให้นิยาม “คลุ้ม…คุ้มทั้งต้น” เพราะอนุรักษ์ดินน้ำพร้อมรักษาระบบนิเวศผืนป่าด้วย สำหรับเจ้าของสวนยางพารา กลายเป็นพืชแซมในสวน สร้างรายได้ที่ไม่ต้องลงทุน ในธรรมชาติมีทั้งริมบ่อปลา ข้างหนองน้ำก็อยากให้เต็มไปด้วย “พุ่มกอคลุ้ม” มีรายการ TV นำเสนอข่าวฉันเรื่องงานจักสานมากมายไม่เชื่อเปิด YouTube ดูสิยะ?
งานฝีมือโบราณระดับกว่าร้อยปี ก่อน “ยุคพลาสติกหรือสแตนเลส” แสดงภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างเครื่องมือใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เสื่อ กระบุง กระด้ง กระจาด หรือเชือก ต่อยอดมาเป็นสินค้าระดับขึ้นห้าง สร้าง Event สั่ง-ส่ง ทาง on line ส่องทาง Tv.-เฟซบุ๊ก จัดเป็น “พืชมหัศจรรย์” ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “ต้นไม้ดึกดำบรรพ์” แต่ตอบโจทย์ผู้คนทั้งระดับชั้นสูง กลุ่มบน-กลาง จากฝีมือชาวบ้าน ที่ถ่ายทอดให้ลูกหลานสืบสานทรัพยากรธรรมชาติ ให้ยั่งยืนพัฒนาหัตถกรรมชุมชน ด้วยการอนุรักษ์พืชมีคุณค่าให้ประโยชน์คุ้มค่า หากเกิด intrend จากนักท่องเที่ยว มี influencer ทำ content อย่าตกใจนะ ปี 2567 นี้ อาจจะมีผลิตภัณท์จาก “คลุ้ม” เป็น Soft Power แห่งปี ก็ได้ นะจ๊ะ !!