ที่มา | เทคโนโลยีเกษตร |
---|---|
ผู้เขียน | เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์ |
เผยแพร่ |
อาร์ติโชค (Globe artichoke) เป็นอาหาร และยารักษาโรค ของชาวอียิปต์ ชาวกรีก และชาวโรมันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทุกส่วนของต้นอาร์ติโชคสามารถนำมาทำประโยชน์ได้ทั้งหมด ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกปลูกอาร์ติโชค เป็นอาหารและอาหารเสริมบำรุงสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศบราซิล อาร์ติโชคจัดว่าเป็นยาสมุนไพรพื้นฐานหรือยาพื้นบ้าน ที่ช่วยให้ระบบหลอดเลือดและหัวใจทำงานได้ดี ดูแลป้องกันโรคโลหิตจาง เบาหวาน โรคเกาต์ ป้องกันสภาวะหลอดเลือดอุดตัน ลดไขมันในเลือด และป้องกันตับอักเสบ
อาร์ติโชคมีลักษณะลำต้นสูงโดยเฉลี่ย 1-2 เมตร ใบมีสีเขียว ดอกมีสีเขียวแกมม่วง ดอกมีลักษณะเป็นหัว มีกลีบซ้อนกันหลายชั้นคล้ายหัวกะหล่ำปลี ดูเผินๆ คล้ายดอกบัวหลวง มีอายุตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 1 ปี
การปลูกดูแล
อาร์ติโชค ควรปลูกในแหล่งดินที่ระบายน้ำได้ดี ความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีอินทรียวัตถุไม่น้อยกว่า 5-7% ในช่วงฤดูแล้งความชื้นในดินต้องไม่ต่ำกว่า 80% เพราะเป็นพืชที่มีใบค่อนข้างใหญ่ การคายน้ำของใบจึงสูง ในช่วงฤดูฝนหากน้ำในดินสูงเกินไปจะเป็นอันตรายต่ออาร์ติโชคที่มีอายุน้อยหรือต้นอ่อน
อาร์ติโชคเติบโตได้ดีในดินที่ค่อนข้างเป็นด่าง มีค่า pH อยู่ระหว่าง 6-6.5 ดังนั้น หากปลูกในดินที่มีคุณสมบัติเป็นกรด เกษตรกรควรปรับลดความเป็นกรดของดินด้วยการใส่ปูนขาว และแคลเซียมคลอไรด์ก่อนจึงค่อยปลูกอาร์ติโชค
เนื่องจากอาร์ติโชคเป็นพืชเมืองหนาวจึงเติบโตดีในสภาพอากาศเย็นตลอดปี อยู่เหนือกว่าระดับน้ำทะเลไม่น้อยกว่า 1,200 เมตร โดยปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด ราก ใบ ลำต้น และดอก จึงจะมีการเจริญเติบโตที่ดี สม่ำเสมอ และสะสมสารที่มีสรรพคุณทางยาได้มาก
สายพันธุ์อาร์ติโชค
สายพันธุ์อาร์ติโชค แบ่งออกตามลักษณะการใช้บริโภค คือ
1. พันธุ์ที่นิยมบริโภคดอกเป็นหลัก ลำต้นมีลักษณะเตี้ย ทรงพุ่มมีขนาดเล็ก ระยะปลูกชิด ปลูกได้ปริมาณต้นมาก มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น
2. พันธุ์ที่บริโภคใบเป็นหลัก มีลักษณะลำต้นสูง ทรงพุ่มใหญ่ อายุการเก็บเกี่ยวที่ยาวนาน ใบมีขนาดใหญ่ ระยะปลูกห่าง เป็นพันธุ์ที่มีสารไซนารินในใบมากที่สุด
3. พันธุ์ที่บริโภคดอกและใบเป็นหลัก มีลักษณะความสูงของลำต้นขนาดกลาง ทรงพุ่มขนาดกลาง โดยทั่วไปเกษตรกรจะนิยมปลูกพันธุ์ที่บริโภคดอกมาก เพราะดอกของอาร์ติโชคพันธุ์นี้ มีคุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยาสูงที่สุด
การขยายพันธุ์อาร์ติโชค มี 3 วิธี คือ
1. การใช้เมล็ดปลูก ส่วนมากเป็นพันธุ์ลูกผสม ระยะเพาะปลูกระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน โดยการคัดเลือกเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ออกด้วยการแช่น้ำ คัดเอาเมล็ดที่ลอยน้ำออกทิ้ง หลังจากนั้นจึงคลุกด้วยสารเคมีที่ป้องกันเชื้อรา และจึงหว่านเมล็ดลงในถาดเพาะหรือแปลงเพาะ ดินที่ใช้เพาะเมล็ดต้องผสมปุ๋ยหมัก ในอัตรา ดิน 3 ส่วน : ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน เมื่อเมล็ดงอกแล้วต้นมีความสูงประมาณ 1-2 นิ้ว ให้ปุ๋ยน้ำฉีดพ่นต้นอ่อนเพื่อกระตุ้นให้เจริญเติบโตเร็วขึ้น โดยใช้ปุ๋ยสูตร 16-8-13 ต้องคอยหมั่นดูแลแมลงศัตรูพืช และควรใช้ตาข่ายคลุมแปลงเพาะเมล็ดด้วย
2. การใช้พันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะสามารถขยายพันธุ์ได้ในปริมาณที่มาก ลำต้นมีขนาดเท่าๆ กัน มีการเจริญเติบโตเท่ากัน ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้พร้อมๆ กัน แต่เป็นวิธียุ่งยากสำหรับเกษตรกรและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
3. การปลูกโดยใช้หน่อ เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้มาก แต่ต้องเลือกหน่อที่ดีสมบูรณ์มาทำพันธุ์ และนำหน่อที่ได้ชุบสารเคมีป้องกันเชื้อรา และหอยทาก (เป็นศัตรูที่สำคัญของอาร์ติโชค เมืองดาลัต) แปลงเพาะชำต้องใส่แคลเซียมคลอไรด์ และคอปเปอร์ซัลเฟตคลุกเคล้าผสมกับดิน แล้วจึงชำหน่อลงในแปลงเพาะชำกล้า ที่มีขนาด 1.2-1.3 เมตร โดยการชำเป็นแถว 4-5 แถวต่อแปลง ระยะต้นห่างประมาณ 15-20 เซนติเมตร
หลังจากนั้นจึงใช้หญ้าหรือฟางแห้งคลุมแปลงเพาะชำและให้น้ำวันละ 2 เวลา หลังจากนั้น 7-10 วัน จึงเอาหญ้าหรือฟางแห้งที่คลุมแปลงออก ใช้ปุ๋ยสูตร 16-8-13 ฉีดพ่น โดยในขณะคลุมแปลงฉีดพ่นประมาณ 2 ครั้ง อย่าใช้ปุ๋ยยูเรียมากเกินไป เพราะจะทำให้หน่อพันธุ์อวบอ้วนเกินไป อ่อนแอเป็นโรคง่าย หลังจากนั้นควรหมั่นตรวจสอบติดตามสถานการณ์ศัตรูพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียอย่างสม่ำเสมอ และถอนหน่อกล้าพันธุ์ที่ตายหรือเป็นโรคออกจากแปลงไปทำลาย ระยะเวลาเพาะชำพันธุ์กล้าประมาณ 1 เดือน
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการปลูกแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ต้นเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ช่วงที่สอง ประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม การปลูกในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูกอาร์ติโชค เพื่อนำใบมาใช้ประโยชน์ทางยา อย่าปลูกต้นกล้าอ่อนในช่วงฤดูฝนหรือปลูกในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี เพราะเสี่ยงเป็นโรครากเน่า โคนเน่า ไม่ควรปลูกอาร์ติโชคหลังเดือนสิงหาคม
ก่อนปลูกควรแช่ต้นกล้าหรือหน่อพันธุ์กล้าในสารเคมีป้องกันและจำกัดเชื้อรา ประมาณ 5 นาที แล้วจึงปลูกตรงกลางแปลงที่ทำเป็นหลังเต่า ปลูกห่าง ระยะระหว่างต้นประมาณ 80-90 เซนติเมตร หลังจากปลูกจึงคลุมด้วยหญ้าหรือฟาง รดน้ำวันละ 2 ครั้ง หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ จึงเอาหญ้าหรือฟางออกจากแปลงปลูก อาร์ติโชคไม่ควรปลูกเป็นพืชเดี่ยว เพราะเป็นพืชที่มีอายุ การเก็บเกี่ยวนาน ควรปลูกอาร์ติโชครวมกับพืชผักชนิดอื่นๆ เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดต่างๆ เป็นต้น
การดูแลรักษา
แปลงปลูกอาร์ติโชค ไม่ควรให้ปุ๋ยยูเรียมากเหมือนเช่นผักต่างๆ แนะนำให้ใช้ปุ๋ยที่ทำจากปลา หรือปุ๋ยกลุ่มคลอไรด์ (KCL) ส่วนปุ๋ยยูเรียควรให้ในปริมาณพอสมควร ในช่วงตั้งแต่ปลูกจนระยะออกดอกเท่านั้น หลังออกดอกแล้วไม่ต้องใส่ ปุ๋ยฟอสเฟต ดีสำหรับรากและดอกอาร์ติโชค ช่วยให้ต้นแข็งแรงไม่หักล้มได้ง่าย ทนความแห้งแล้ง ปุ๋ยโพแทสเซียม ช่วยให้ได้ผลผลิตสูง
ส่วนปุ๋ยแคลเซียม จะช่วยรักษาสมดุลของ pH ในดินและความคงทนของดอกอาร์ติโชคในการขนส่ง อัตราส่วนปุ๋ยที่ใช้อาจปรับเปลี่ยนไปได้ตามสภาพของดิน ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดิน ความหนาแน่นของการปลูก หรืออาจใช้ปุ๋ยที่ทำมาจากปลาหรือปุ๋ยทางใบทั่วไปก็ได้ ก็จะดีมาก
ช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคมเป็นช่วงที่อาร์ติโชคออกดอก มีความต้องการน้ำสูง ควรให้น้ำมากเป็นพิเศษ หลังจากนั้นจึงลดปริมาณลง หลังจากหมดฤดูฝนแล้วควรขุดดินในร่องระบายน้ำขึ้นพูนโคนต้น อย่าขุดลึกเกินไปเพราะอาจไปกระทบรากได้
การเก็บเกี่ยวและการแปรรูปอาร์ติโชค
อาร์ติโชคเป็นพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยวนับจากวันปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวยาวนานถึง 1 ปี โดยทั่วไป ใบอาร์ติโชคสามารถเก็บเกี่ยวตั้งแต่อายุ 90 วัน หรือ 3 เดือนขึ้นไป แล้วนำมาล้างให้สะอาด อบแห้งหรือตากแห้ง แล้วนำไปบริโภค
ดอก เก็บเกี่ยวเพื่อนำมารับประทานสด หรือหั่น/สับ เป็นชิ้นเล็กๆ ตากแห้งทำเป็นชา ลำต้น เมื่อตัดดอกแล้วนำลำต้นมาหั่น/สับ แล้วตากแดดให้แห้งทำเป็นชา หน่อ เก็บหน่อ 2-3 หน่อต่อต้น เพื่อใช้ทำเป็นกล้าพันธุ์ โดยนำมาเพาะชำแล้วจึงนำไปปลูกต่อไป ราก หั่น/สับ เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วตากแดดให้แห้งทำเป็นชา การเก็บผลิตภัณฑ์อาร์ติโชคที่แห้งแล้วควรเก็บในถุงตาข่ายไนลอน เพื่อป้องกันความชื้น ซึ่งจะทำให้เกิดเชื้อราและเสียหาย
ในประเทศเวียดนามส่วนใหญ่นิยมนำอาร์ติโชคไปบริโภคสดและหั่นตากแห้งทำเป็นชาชงดื่ม มีจำหน่ายทั่วไป แหล่งปลูกอาร์ติโชคในประเทศเวียดนามมีแห่งเดียวที่ให้ผลดีที่สุดคือ เมืองดาลัต จังหวัดลามดอง ซึ่งตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,600 เมตร ประมาณบริเวณเดียวกับจังหวัดตราดของประเทศไทย มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี อุณหภูมิเฉลี่ย 20 องศาเซลเซียส
อาร์ติโชค นอกจากจะปลูกในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ประเทศฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ ในยุโรปแล้ว อิสราเอลเป็นประเทศหนึ่งที่ปลูกอาร์ติโชคจำนวนมาก โดยแปรรูปเป็นอาหารเสริมบำรุงสุขภาพ ที่ทำรายได้ให้กับประเทศอิสราเอลปีละไม่ใช่น้อยเลย เนื่องมาจากกระแสของโลกในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคตระหนักถึงเรื่องคุณภาพชีวิตและอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้น อาร์ติโชคจึงเป็นพืชทางเลือกใหม่อีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเพาะปลูกบนพื้นที่ดอยสูง เช่น เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ฯลฯ เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกรไทยในอนาคต
………….
เผยแพร่ในระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก เมื่อวันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567.