ทิ้งไมค์ ปิดไฟส่องหน้า ‘เชษฐ์ สไมล์บัฟฯ’ เล่าถึงชีวิตเกษตรกร เปิดโรงทานให้คนยาก ที่ไม่ดังแต่แสนสุข

ทิ้งอาชีพนักร้อง และชื่อเสียงโด่งดัง เพื่อใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยการทำการเกษตรมานานหลายปี ถึงวันนี้วรเชษฐ์ เอมเปีย หรือ เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล บอกกับมติชนออนไลน์ ด้วยรอยยิ้มว่า เขามีชีวิตที่เป็นสุขยิ่ง

สุขกับ ‘ความพอเพียง’ และ ‘การให้’

“ผมไปทำการเกษตร ทุกอย่าง ทำมานานแล้ว จนมีเงินเยอะมากมาย” เชษฐ์พูดยิ้มๆ แบบเต็มปากเต็มคำ

แล้วว่าที่เป็นอย่างนั้น เพราะเขา “เดินตามรอยเท้าพ่อ คือในหลวงรัชกาลที่ 9”

บอกอีกว่า “ใครได้ทำชีวิตแบบการพอเพียง จะมีเงินเหลือ และประสบความสำเร็จด้วยความมั่นคงยั่งยืน”

“ใช้หลักนี้แล้วจะพบกับสิ่งที่ไม่เคยจะคิด”

เล่าด้วยว่า ที่เขาทำนั้นเป็นเกษตรนวตกรรมใหม่ ทฤษฎีแนวใหม่ ซึ่งจะล้ำยุคก่อนใคร

“อย่างเช่นข้าวไรซ์เบอรี่ ตอนที่เขายังไม่ฮิตกัน ผมทำก่อน พอเขาฮิต ผมก็มีข้าวเป็นร้อยๆตัน แล้วผมก็มีเงินเป็นล้าน หลังจากนั้นพอคนเริ่มทำกันเยอะแยะมากมาย เราก็พลิกผันไปทำอย่างอื่น”

“แนวคิดเรามันอยู่ตรงนี้มากกว่า ที่จะไปทำซ้ำซากเยอะแยะ”

ทุกผลผลิตที่ออกมา ไม่ว่าจะประเภทไหน เชษฐ์ก็ว่าสิ่งที่เขายึดไว้เสมอ คือถ้าผลิตภัณฑ์ของเขาดี ต่อให้อยู่มุมไหนในประเทศ ก็จะมีคนมาขอซื้อ

“ของเราเป็นประเภทปลอดสาร เอาแค่ปลอดภัย คนก็แย่งซื้อกันแล้ว”

เขายังเล่าถึงจุดพลิกผันที่ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตจากนักร้องคนดังมาเป็นเกษตรกรผู้พอเพียงว่า เป็นเพราะ อยากใช้เวลาในชีวิตมีอยู่ให้มีคุณค่าและมีความสุขอย่างมั่นคง ยั่งยืน

“กับชีวิตตอนเป็นนักร้อง มันเป็นความสุขคนละแบบนะครับ ดนตรีผมก็จะอยู่ในผับ เธค อยู่ในคอนเสิร์ต แต่ก่อนผมก็ดื่ม ก็เมา เยอะแยะมากมาย ใช้ชีวิตแบบเละเทะของผมไปเรื่อย อันนั้นก็เป็นความสุข แต่เป็นความสุขบนความทุกข์ เรายังไม่มีจุดยืนที่จะมีความมั่นคงยั่งยืน ก็ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่อย่างอันนี้มันก็ใช้ชีวิตไปวันๆแต่ว่าแต่ละวันมีคุณค่ามากมาย เพราะว่าเราได้ทำสิ่งดีงามทั้งหมดเลย”

สมัยออกอัลบั้มภาพจากSmile Buffalo

“ทำการเกษตรประเภทเพื่อสุขภาพคน คนของเราเป็นโรคมะเร็งเยอะ เป็นเพราะการกิน ตายเร็ว อายุสั้น แต่การกินของผม จะกินอย่างเลิศหรู อย่างดี”

 

“ผมมีโรงทานเชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล เปิดเลี้ยงเด็กนักเรียน ผู้เฒ่า ผู้แก่ คนยาก คนจน”

โรงทานซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.หนองขยาด อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ที่เปิดให้บริการมาได้ราว 1 ปีแล้ว

“เราทำโรงทานเพราะว่าอะไรรู้ไหม” คุยๆกันแล้วเชษฐ์ก็หันมาย้อนถาม

ก่อนอธิบายต่อเสร็จสรรพ ว่า “เพราะผมเดินหลักพอเพียง ตามรอยพ่อหลวงในรัชกาลที่ 9 ในสิ่งที่ผมทำได้”

“ผมใช้ชีวิตแบบไม่ต้องเริ่ดหรู ไม่ต้องหรูหรา กินแค่พอกิน พออยู่ พอใช้ พอมี พอใจ แล้วก็พอแล้ว”

“พอ เพราะรู้สัจธรรมแล้ว ว่าพอตาย เราเอาอะไรไปไม่ได้ ก็มาทำให้เกิดประโยชน์ซะ”

“ก็เลยเปิดโรงทาน ให้คนที่ไม่มีกิน คนตกทุกข์ได้ยาก แม้แต่โรงเรียนที่ตกสำรวจ ก็มาขอข้าวจากผมไปเลี้ยงเด็กๆ”

“ที่บ้านของผมเรียกว่าสวรรค์บนดิน คือพอเดินไป ก็ได้กินเลย อยากจะกินอะไรเดินเข้าไปในสวน เราปลูกไว้หลายอย่าง มันก็สลับกันขึ้น สลับกันออก จนกินไม่ทัน”

บอกว่าอีกของที่แจกจ่ายในโรงทานนั้น นอกจากของๆเขาแล้ว ก็ยังมีจากผู้มีจิตศรัทธาอีกหลายรายที่นำไปบริจาค โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน

“มนุษย์น่ะสูงสุดคือความสุข”

“ยิ่งใหญ่กว่าความสุขคือการปล่อยวาง การที่ไม่ต้องมีสิ่งใดครอบครอง ถ้าเราบ้าสมบัติมันก็จะเป็นทุกข์อยู่ตลอด ต้องอย่าไปเกิดทุกข์ ยิ่งเราเป็นผู้ให้ เราไม่ต้องหวังผลตอบแทนใดๆ เขาเรียกเป็นการให้ที่บริสุทธิ์ แล้วเราจะเกิดเป็นความสุข เกิดเป็นบุญมหาศาล แล้วเราเองจะไม่ลำบากคิดอะไรมาก”

“เพราะใดๆในโลกล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ของเราทั้งนั้น แม้แต่ตัวเราก็เป็นแค่ผู้อาศัย เราไม่มีทางที่จะครอบครองอะไรได้”

พูดแล้วเชษฐ์ก็ยิ้มกว้าง อย่างที่ดูก็รู้ ว่าเขากำลังมีความสุข

 

ที่มา : มติชนออนไลน์