ไปลอสแอนเจลิส (ตอนที่ 1)

ตั้งแต่ค่ำวันพุธที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา ขอเริ่มต้นเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นั่งรอขึ้นเครื่องไปสนามบิน Incheon ประเทศเกาหลี เพื่อเดินทางต่อไปที่ เมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งครอบครัวของลูกสาวอยู่ที่ Northridge เขาอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยที่นั่น ลูกสาวได้จองเครื่องบินขากลับให้ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 แสดงว่า ผมจะได้มีโอกาสอยู่กับลูกและหลาน ประมาณ 20 วัน (อันมีค่า) เท่านั้น

ยังคิดถึงการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกและไปสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2514 ซึ่งตอนนั้นเป็นไอ้ขี้เมา ข้าราชการภูธรอยู่ที่ฉะเชิงเทรา ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะออกไปสู่โลกภายนอกได้

การไปต่างประเทศสมัยนั้นยากมาก เหมือนได้ไปสวรรค์ เริ่มตั้งแต่ที่สนามบินดอนเมืองอันเก่าแก่ ยังจะต้องแต่งตัวใส่เสื้อนอกโก้มากๆ ญาติพี่น้องเพื่อนๆ ที่ไปส่งต้องซื้อพวงมาลัยให้แขวนคอเหมือนนักมวย ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแบบไม่เสียดายฟิล์ม ตอนนั้น ขึ้นเครื่อง Cathey Pacific จากไอ้ควายบ้านนอก มาเห็นพนักงานบริการบนเครื่อง และที่อยู่ห้องพักผู้โดยสารที่ฮ่องกงงดงามเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ ได้ขอ blanket บนเครื่องบิน พนักงานต้อนรับถามว่า beer? เราก็ฟังไม่ทัน ตอบตกลง ก็เลยได้เบียร์แทนผ้าห่ม

เมื่อเดินทางไปถึงอเมริกา เมือง Seattle เข้าพักโรงแรมที่สะอาดมาก โดยเฉพาะห้องน้ำที่มีอ่างอาบน้ำ เตียงนอน ปูด้วยผ้าปูที่นอน 2 ชั้น และมีผ้าห่มอยู่ข้างบน ซึ่งตอนนั้น เวลานอนกลัวว่าจะทำเตียงเขายุ่ง ไม่กล้าสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม แต่โชคดีที่ห้องพักมีเครื่องทำความร้อนและน้ำอุ่น ไม่รู้เลยว่าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ไปถึง ซึ่งฝนตกนั้น อากาศข้างนอกหนาวจนตัวสั่น และเป็นหวัดในทันที ได้เคยเขียนเรื่องนี้มาแล้ว แต่ก็อดรำลึกไม่ได้

ครั้งนี้ ลูกสาวได้จองตั๋วเครื่องบินให้ ซึ่งเขาเห็นว่าอายุ 70 กว่าแล้ว ควรจะต้องนั่ง wheel chair ดังนั้น เมื่อถึงสนามบินลอสแอนเจลิส จึงได้นั่ง wheel chair ด้วยกันกับภรรยาคนละคัน จากเครื่องบิน ผ่านพิธีการทางศุลกากร และตรวจสอบกระเป๋าเดินทางออกไปด้วยดี สะดวกมาก นับว่าเป็นบริการที่ดีของสายการบิน

ก่อนหน้านี้ ขณะที่รอเครื่องบินอยู่ที่ห้องพักที่สนามบินเกาหลี ตรงหน้าประตูทางเข้าขึ้นเครื่อง กำลังจะขึ้นเครื่อง ซึ่งไม่ได้ไปยืนต่อคิว เพราะคิวยาวมาก จะคอยให้คนในคิวไปก่อน แต่สักพักใหญ่ๆ ก็มีพนักงานเดินมาหาตรงที่นั่ง ขอดูบัตรขึ้นเครื่อง แล้วพาลัดคิวไปที่นั่งโดยตรง ไม่ต้องยืนต่อคิวแต่ประการใด เพราะเห็นรูปร่างหน้าตาแล้ว ไม่ต้องดูอายุที่บัตรก็ได้รับบริการ ซึ่งโชคดีแท้ๆ ที่เป็นคนแก่ แต่ก็ไม่เคยอยากจะแก่เลย เห็นหนุ่มๆ สาวๆ ก็รู้สึกใจหายมาก ที่เราแก่แล้ว หมดสิทธิ์ไปหลายเรื่อง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามกาลเวลาและสัจธรรม สำหรับในช่วงที่อยู่บนเครื่องนั้น ลูกได้สั่งอาหารเจให้ ซึ่งทำให้ได้รับอาหารพิเศษ ไม่เหมือนคนอื่นบนเครื่อง เป็นอาหารที่อร่อยมาก แต่ก็ไม่ค่อยชอบกลิ่นเจที่ติดปากหลังกินเสร็จแล้ว จนกระทั่งมื้อสุดท้ายบนเครื่อง อร่อยที่สุด ที่มีข้าวกับเต้าหู้ทอดน้ำมันหอย คล้ายกับที่เคยกินประจำวัน

จากการที่เป็นคนแก่ เดินทางไกลนั้น ย่อมต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นธรรมดา เวลาที่กินอาหารนั้น ด้วยความจำกัดของสถานที่และถาดอาหาร โดยเฉพาะบะหมี่เกาหลี เส้นยาวๆ ทำให้อาหารกระเด็นใส่กางเกงหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดการเดินทาง ได้ทำน้ำส้มคั้นทั้งแก้วที่รับมาจากพนักงานต้อนรับ หลุดมือหกใส่กางเกงทั้งแก้ว โมโหตัวเองมาก แต่ก็ทราบว่าจะต้องมีปัญหาเหล่านี้มาแล้ว จึงแต่งตัวเลือกเอาชุดที่เก่าสุด แห้งเร็วสุด ที่ใส่ของเยอะๆ หลวมๆ ใส่ในการเดินทาง เพราะถึงจะแต่งตัวให้หล่อที่สุด ก็คงไม่มีใครแลหน้าเหี่ยวๆ แบบเราเป็นแน่

เสียดายที่ลืมเสื้อคลุมกันอากาศเย็นไป แต่การเดินทางก็ไม่เย็นจนทนไม่ได้ จากกรุงเทพฯ ไปที่เกาหลี ซึ่งเครื่องออกประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ นั้น ได้นอนอยู่ชั่วโมงกว่าๆ เอง เพราะเข้าห้องน้ำ กินข้าว และรอเครื่องขึ้น เครื่องลง ก็ใช้เวลาพอสมควร และเมื่อเดินทางจากเกาหลีไปอเมริกา ก็ไม่ได้หลับเลย เพราะตรงกับเวลากลางวันที่กรุงเทพฯ และมัวแต่ดูหนังที่เขามีบริการให้ ได้เลือกดูร่วม 4 เรื่อง ก็ถึงพอดี เรื่องที่ชอบ คือ Mary Poppins และ Fiddler on the Roof ซึ่งเรื่องสุดท้ายนี้ ภาษาอังกฤษที่พูด ชัดที่สุดเข้าใจง่ายสำหรับคนที่ประสิทธิภาพการฟังเหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ และทั้ง 2 เรื่องนี้ ได้ฟังเพลงเก่าๆ เพลิดเพลินมาก

มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ ห้องน้ำ ที่ไม่ว่าตรงจุดไหนในโลกนี้ ต้องแบ่งห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายอย่างชัดเจน ซึ่งเคยสังเกตดูหลายๆ แห่ง ห้องน้ำผู้หญิงจะมีการยืนต่อคิว บางครั้งคิวยาวออกมานอกห้องเลย เพราะกรรมวิธีการใช้ช้ากว่า แต่บนเครื่องบินนั้น ไม่มีแบ่งแยก ทุกคนมีสิทธิ์เข้าห้องน้ำที่เดียวกัน เหมือนกันหมด จะต่อคิวก็แล้วแต่มาก่อนหรือหลัง ซึ่งแล้วแต่ดวง บางครั้งคนเข้าห้องน้ำก่อนหน้าเรา ก็นานมาก ถ้าโชคดีก็ไม่นานนัก ถ้าใครท้องเสีย คงเดินทางไปต่างประเทศลำบาก ซึ่งผมเองก็เคยอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ตอนนั้นได้ที่นั่งในชั้นสูงขึ้นไป ก็ผ่านมาได้ สำหรับห้องน้ำที่ตัวสนามบินเกาหลีเอง ก็ต้องคอยเหมือนกัน เพราะถึงแม้จะแบ่งหญิงชาย แต่ตัวห้องน้ำภายในที่เข้าไปปลดทุกข์ ก็มีแค่แห่งละ 1-2 ห้องเท่านั้น

ที่เล่าเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะแต่ละวันผมต้องเข้าห้องน้ำหลายครั้ง และถ้าไม่ใช่บ้านเรา เช่น การเดินทางครั้งนี้ เข้าห้องน้ำแต่ละครั้ง ไม่สามารถรออ้อยอิ่งให้นานๆ ได้ เนื่องจากเกรงใจคนยืนรอคิวต่อไป เพราะเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยเฉพาะตอนอยู่ที่สนามบินเกาหลี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ยืนรอตั้ง 10 นาที กว่าคนที่เข้าก่อนจะออกมา กลับมาคิดถึงในสมัยก่อนที่เคยเดินทางบ่อยๆ ตอนเข้าห้องน้ำบนเครื่อง กำลังนั่งปล่อยอารมณ์ ใจลอยเรื่อยๆ เครื่องบินได้สั่นรุนแรงมาก และมีสัญญาณ ตัวหนังสือ เขียนว่า return to your seat ซึ่งเราก็เกิดกลัว แต่ก็ยังจำเป็น ยังลุกไม่ได้ ก็ต้องนั่งอยู่ในห้องน้ำจนเสร็จ เป็นไรเป็นกัน

มาถึงลอสแอนเจลิสแล้ว ได้พบหน้าลูกสาวและครอบครัวของลูก ดีใจมากๆ ที่นี่ถึงแม้ไม่ใช่บ้านเราที่เคยชิน แต่ได้มาสัมผัสกับอากาศเย็นๆ แห้งๆ ไม่มีฝนให้ต้องกังวล และไม่มียุง บ้านเมืองสะอาด ไม่มีขยะในชุมชนให้สกปรกเลอะเทอะ ก็ได้รับความสดชื่นดี ที่นี่มีข้อเสียอยู่ข้อเดียวคือ ค่าครองชีพสูง ทุกอย่างแพงหมด และที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา อย่างไรก็ตาม การที่เขียนครั้งนี้คงไม่มีการไปเที่ยวที่ไหนๆ เพราะความตั้งใจที่เดินทางมาครั้งนี้ เพียงแค่อยู่กับครอบครัวของลูก เล่นกับหลานๆ 3 คนเท่านั้น ขอได้อ่านตอนต่อไปเร็วๆ นี้นะครับ บู๊ (คนเคยหนุ่ม)