เดินตามรอยข้าว ย้อนกลับไปเมื่อ 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ข้าวไทยมีจุดกำเนิดอย่างไร

A large green rice field with green rice plants in rows in Valencia at sunset

“ข้าว” เป็นพืชอาหารที่สำคัญชนิดหนึ่งของโลก โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียที่บริโภคข้าวเป็นอาหารประจำวันมากกว่าในภูมิภาคอื่นๆ ของโลก “แต่ทำไมนะ” ประชากรในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทย ที่เป็นแหล่งกำเนิดพันธุ์ข้าวกว่า 20,000 ชนิด แต่กลับรู้จักและได้บริโภคข้าวจริงๆ ไม่เกิน 10 สายพันธุ์

เทคโนโลยีชาวบ้าน พาทุกท่านไปย้อนเรื่องราวจุดกำเนิดและประวัติข้าวไทย ทั้งในเรื่องของศิลปะและวัฒนธรรมข้าว ชนิดของข้าว และการบริโภคข้าวของคนไทยในอดีตถึงปัจจุบัน โดยอิงข้อมูลจากมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

จุดกำเนิดและประวัติข้าวไทย

รู้หรือไม่ว่าพันธุ์ข้าวที่มนุษย์เพาะปลูกในปัจจุบันพัฒนามาจากข้าวป่าในตระกูล Oryza gramineae สันนิษฐานว่า พืชสกุล Oryza มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นของทวีป  Gondwanaland ก่อนผืนดินจะเคลื่อนตัวและเคลื่อนออกจากกันเป็นทวีปต่างๆ เมื่อ 230-600 ล้านปีมาแล้ว จากนั้นกระจายจากเขตร้อนชื้นของแอฟริกา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ออสเตรเลีย อเมริกากลางและใต้ ข้าวสามารถเจริญเติบโตได้ตั้งแต่ความสูงระดับน้ำทะเลถึง 2,500 เมตรหรือมากกว่า ทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ทั้งในที่ราบลุ่มจนถึงที่สูง ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เส้นรุ้งที่ 53 องศาเหนือถึง 35 องศาใต้

มนุษย์ได้คัดเลือกข้าวป่าชนิดต่างๆ ตามความต้องการของตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับระบบนิเวศ มีการผสมพันธุ์ข้ามระหว่างข้าวที่ปลูกกับวัชพืชที่เกี่ยวข้อง เกิดข้าวพื้นเมืองมากมายหลายสายพันธุ์ ซึ่งสามารถให้ผลผลิตสูง ปลูกได้ตลอดปี ก่อให้เกิดพันธุ์ข้าวปลูกที่เรียกว่า ข้าวลูกผสมซึ่งมีประมาณ 120,000 พันธุ์ทั่วโลก

ข้าวที่ปลูกในปัจจุบันแบ่งออกเป็นข้าวแอฟริกาและข้าวเอเชีย ข้าวแอฟริกา (Oryza glaberrima) แพร่กระจายอยู่เฉพาะบริเวณเขตร้อนของแอฟริกาเท่านั้น สันนิษฐานว่าข้าวแอฟริกาอาจเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ส่วนข้าวเอเชีย เป็นข้าวลูกผสม เกิดจาก Oryza sativa กับข้าวป่า มีถิ่นกำเนิดบริเวณประเทศอินเดีย บังกลาเทศ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปลูกกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่อินเดีย ตอนเหนือของบังกลาเทศ บริเวณดินแดนสามเหลี่ยมระหว่างพม่า ไทย ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้

ข้าวเอเชียแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์

ข้าวสายพันธุ์แรก เรียกว่าสายพันธุ์ Senica หรือ Japonica ปลูกบริเวณแม่น้ำเหลืองของจีน แพร่ไปยังเกาหลีและญี่ปุ่น เมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ เป็นข้าวเมล็ดป้อม

ข้าวสายพันธุ์ที่สอง เรียกว่า Indica เป็นข้าวเมล็ดยาวปลูกในเขตร้อนแพร่สู่ตอนใต้ของอินเดีย ศรีลังกา แหลมมลายู หมู่เกาะต่างๆ และลุ่มแม่น้ำแยงซีของจีนประมาณคริสต์ศักราช 200

Advertisement

ข้าวสายพันธุ์ที่สาม คือ ข้าวชวา (Javanica) ปลูกในอินโดนีเซีย ประมาณ 1,084 ปีก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นแพร่ไปยังฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น ข้าวเอเชียแพร่เข้าไปในยุโรปและแอฟริกา สู่อเมริกาใต้ อเมริกากลาง เข้าสู่สหรัฐอเมริกาครั้งแรกประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยนำเมล็ดพันธุ์ไปจากหมู่เกาะมาดากัสกา

ในเบื้องแรก มนุษย์ค้นพบวิธีปลูกข้าวแบบทำไร่เลื่อนลอย ดังปรากฏหลักฐานในวัฒนธรรมลุงซาน ประเทศจีนและวัฒนธรรมฮัวบิเนียน ประเทศเวียดนาม เมื่อประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว ต่อมามนุษย์ค้นพบการทำนาหว่าน ดังปรากฏหลักฐานในวัฒนธรรมหย่างเฉา บริเวณลุ่มแม่น้ำเหลือง ในวัฒนธรรมลุงซาน ประเทศจีนและวัฒนธรรมฮัวบิเนียน ประเทศเวียดนาม

Advertisement

เมื่อ 5,000-10,000 ปีมาแล้ว ภูมิปัญญาด้านการปลูกข้าวพัฒนาสู่การปักดำ พบหลักฐานในวัฒนธรรมบ้านเชียงประเทศไทย เมื่อไม่ต่ำกว่า 5,000 ปีมาแล้ว ในประเทศไทย เมล็ดข้าวที่เก่าแก่ที่สุดที่พบมีลักษณะคล้ายข้าวปลูก ของชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์อายุราว 3,000-3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้แก่ รอยแกลบข้าว ซึ่งเป็นส่วนผสมของดินที่ใช้ปั้นภาชนะดินเผาที่โนนนกทา ตำบลบ้านโคก อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็นหลักฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเก่าแก่ที่สุด คือ ประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลักฐานอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าสยามประเทศเป็นแหล่งปลูกข้าวมาแต่โบราณ อาทิ เมล็ดข้าวที่ขุดพบที่ถ้ำปุงฮุง จังหวัดแม่ฮ่องสอน แสดงว่ามีการปลูกข้าวในบริเวณนี้เมื่อ 3,000-3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราชหรือราว 5,400 ปีมาแล้ว แกลบข้าวที่ถ้ำปุงฮุงมีทั้งลักษณะของข้าวเหนียวเมล็ดใหญ่ที่เจริญงอกงามอยู่ในที่สูง เป็นข้าวไร่และข้าวเจ้า แต่ไม่พบลักษณะของข้าวเหนียวเมล็ดป้อมหรือข้าวพวก Japonica เลย แหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี พบรอยแกลบข้าวผสมอยู่กับดินที่นำมาปั้นภาชนะดินเผา กำหนดอายุได้ใกล้เคียงกับแกลบข้าวที่ถ้ำปุงฮุง คือ ประมาณ 2,000-3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ลักษณะเป็นข้าวเอเชีย (Oryza sativa)

หลักฐานการค้นพบเมล็ดข้าว เถ้าถ่านในดินและรอบแกลบบนเครื่องปั้นดินเผา ที่โคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี แสดงให้เห็นถึงชุมชนปลูกข้าวสมัยก่อนประวัติศาสตร์ชายฝั่งทะเล นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานคล้ายดอกข้าวป่าเมืองไทยที่ถ้ำเขาทะลุ จังหวัดกาญจนบุรี อายุประมาณ 2,800 ปีก่อนคริสต์ศักราช (อาจก่อนหรือหลังจากนั้นประมาณ 300 ปี) ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อยุคหินใหม่ตอนปลายกับยุคโลหะตอนต้น

ส่วนหลักฐานภาพเขียนบนผนังถ้ำหรือผนังหินอายุไม่น้อยกว่า 2,000 ปี ที่ผาหมอนน้อน บ้านตากุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี บันทึกการปลูกธัญพืชอย่างหนึ่งมีลักษณะเหมือนข้าว ภาพควายในแปลงพืชคล้ายข้าว อาจตีความได้ว่ามนุษย์สมัยนั้นรู้จักข้าวหรือการเพาะปลูกข้าวแล้ว ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี สรุปไว้เมื่อปี พ.ศ. 2535 ว่า “ประเทศไทย ทำนาปลูกข้าวมาแล้วประมาณ 5,471 ปี” ผลของการขุดค้นที่โนนนกทาสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ข้าวเริ่มปลูกในทวีปเอเชียอาคเนย์ ในสมัยหินใหม่ จากนั้นแพร่ขึ้นไปที่ประเทศอินเดีย จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี

โดยปัจจุบันจะมีข้าว 7 ชนิด ที่นิยมรับประทาน ได้แก่

  1. ข้าวหอมมะลิ มีคาร์โบไฮเดรตสูงถึง 77% และโปรตีนสูง 8% ให้พลังงานแก่ร่างกายแถมด้วยวิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา และวิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก ข้าวหอมมะลิ หรือข้าวดอกมะลิ มีที่มาจากสีของข้าวเหมือนดอกมะลิ มีลักษณะที่สำคัญ คือ เมื่อหุงสุกแล้ว เมล็ดข้าวสุกจะอ่อนนุ่มมากกว่าข้าวเจ้าทั่วไป ลักษณะเลื่อมมัน มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เป็นเจ้าที่มีคุณภาพเมล็ดดีมาก เมล็ดข้าวสารใส แข็งแรง คุณภาพการขัดสีดี
  2. ข้าวกล้อง/ข้าวซ้อมมือ เป็นข้าวที่ผ่านกระบวนการกะเทาะเอาออกจากเปลือกเท่านั้น หรือข้าวที่ผ่านการขัดสีเพียงครั้งเดียว ข้าวที่ได้จึงเป็นข้าวที่มีสีขาวขุ่น และเป็นข้าวที่ยังคงมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) หลงเหลืออยู่มาก ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ข้าวกล้อง อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารมากกว่าข้าวขาว พร้อมทั้งอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน และกรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด
  3. ข้าวเหนียว ลักษณะเด่น คือ เนื้อสัมผัสของข้าวที่ติดกันระหว่างเมล็ดของข้าวที่หุงสุกแล้วมี 2 สี คือ สีขาวและสีดำ ข้าวเหนียวเป็นที่นิยมบริโภคอย่างกว้างขวางในประเทศไทย และเป็นอาหารหลักของประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ นอกจากการบริโภคโดยตรงแล้ว ยังมีการนำข้าวเหนียวมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสุราพื้นเมือง การผลิตแป้งข้าวเหนียว อุตสาหกรรมอาหาร และขนมขบเคี้ยวด้วย
  4. ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นการผสมสายพันธุ์ ระหว่างข้าวหอมนิล กับ ข้าวขาวดอกมะลิ105 ทำให้ได้ลักษณะเด่นที่ดีและคุณประโยชน์เด่นออกมา มีลักษณะผิวมันวาว ข้าวเจ้ามีสีม่วงเข้มคล้ายกับลูกเบอร์รี่ มีรสชาติหอมมัน เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม เนื่องจากผ่านการขัดสีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น จึงยังทำให้คงคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้อย่างครบถ้วน มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดี อุดมไปด้วยโฟเลตสูง นอกจากนั้น ยังอุดมไปด้วยสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด
  5. ข้าวญี่ปุ่น เป็นข้าวเมล็ดสั้น ข้าวสารหุงไม่ขึ้นหม้อ หุงสุกแล้วคล้ายข้าวเหนียว สามารถใช้ตะเกียบคีบเป็นคำได้ เป็นข้าวชนิดจาโปนิกา ซึ่งเมล็ดข้าวจะมีลักษณะสั้น อวบอ้วน เกือบเป็นทรงกรม เมื่อหุกสุกจะมีความหนึบ เกาะตัวกันคล้ายข้าวเหนียว และมีความหวานตามธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับทานกับ กับข้าว หรือ นำมาปั้นทำซูชิ
  6. ข้าวขาว เป็นข้าวที่มีการนำไปกะเทาะเปลือกออกแล้วนำไปขัดสีเอาส่วนเยื่อหุ้มออกไป ทำให้ได้ข้าวที่มีเมล็ดสีขาว ซึ่งเมื่อรับประทานจะให้แป้งและพลังงานเท่านั้น ส่วนสารอาหารเหลืออยู่ปริมาณน้อย หุงขึ้นหม้อ ไม่บูดง่าย
  7. ข้าวอาโบริโอ เป็นข้าวเมล็ดสั้นที่ให้เนื้อสัมผัสแน่นเหนียวเพราะมีปริมาณแป้งอยู่มาก แหล่งกำเนิดข้าวสายพันธุ์นี่อยู่ที่จังหวัดอาร์โบริโอ ในแคว้นปีแยมอนเต ทางตอนเหนือของอิตาลี นับว่าเป็นข้าวใช้ทำรีชอตโตที่นิยมแพร่หลายมากที่สุดเพราะหาซื้อได้ง่าย และมีราคาไม่สูงหากเทียบกับสายพันธุ์อื่น ขนาดเมล็ดสั้น ราคาไม่แพง

อ้างอิง : มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ : กรมการข้าว

////////////////////////////////////////////

ถ้าอยากรู้จัก “ข้าวให้มากขึ้น” พบกันได้ที่ #งานมหัศจรรย์ข้าวไทย 2024 🍚 งานที่มัดรวมข้าว GI ที่หายากจากทุกสารทิศทั่วไทยมาไว้ในงานเดียว!

พร้อมเดินทัวร์ให้รู้ว่าข้าวไทยทำถึง กับนิทรรศการข้าวสุดอลัง ฟังเสวนาที่ครบรสทั้งความรู้และความบันเทิง จัดเต็มกับเวิร์กช็อป และการสาธิตสารพัดเมนูจากข้าวทั้งคาว-หวานครบรส #ข้าวไทย ก็ทำได้จริง แถมได้ช้อปปิ้งสินค้าเกี่ยวกับข้าวที่หลากหลายกันให้หนำใจ

มาชิมให้รู้ มาชมให้เห็นกับตาว่า #ข้าวไทยอร่อยที่สุดในโลก 📅 เตรียมตัวพบกันวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 2 มิถุนายนนี้ 🏬ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เดินทางสะดวกด้วยรถโดยสารสาธารณะ, รถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีสามย่าน ทางออกที่ 2 เข้าฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย