โอวา กะเทยขายข้าว ชาวนาออนไลน์ สร้างรายได้ 3 ล้านบาท/ปี

“ข้าว” ถือเป็นอีกหนึ่งพืชทางเศรษฐกิจสำคัญที่หล่อเลี้ยงคนไทยมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะผ่านไปแห่งหนใดในประเทศไทย การปลูกข้าวก็มีให้เห็นอยู่เสมอตลอดทั้งปี และถ้าจะกล่าวว่าการทำนาเป็นเสมือน DNA ของคนไทยก็ไม่ผิด เพราะตั้งแต่เล็กจนโตการได้เห็นทุ่งนาและกิจกรรมต่างๆ นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวสำหรับใครหลายๆ คน ที่ได้เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ในพื้นที่ต่างจังหวัดและสื่อโซเชียลมีเดีย ที่มีการปลูกข้าวสร้างรายได้ 

คุณธนาวัฒน์ จันนิม หรือ คุณโอวา

คุณธนาวัฒน์ จันนิม หรือ คุณโอวา เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่เรียกได้ว่ามี DNA และสายเลือดของความเป็นลูกชาวนาอย่างเต็มตัวเต็มเปี่ยม เพราะด้วยความที่ได้สัมผัสและได้นำเอามุมมองใหม่ๆ จากประสบการณ์ที่ได้ในสายงานอื่นๆ มาต่อยอดการทำตลาดข้าวให้กับครอบครัวจนประสบผลสำเร็จ พร้อมกับขยายการผลิตช่วยให้ชุมชนเกิดรายได้ไปพร้อมๆ กัน

สถานการณ์โควิด-19 

ทำให้เห็นศักยภาพของตนเอง 

คุณโอวา เล่าให้ฟังว่า ด้วยความเป็นเด็กที่เติบโตมาจากต่างจังหวัดและครอบครัวทำนามาตลอดชีวิต ทำให้รู้สึกว่าอยากจะหนีจากสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอเมื่อโตขึ้น โดยหลังจากที่จบการศึกษาจากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วนั้น คุณโอวาได้เข้าสู่ชีวิตการทำงานยังบริษัทเอกชนอย่างที่ตั้งใจไว้

แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 กว่าปี จุดอิ่มตัวเริ่มเข้ามาในจิตใจบวกกับสถานการณ์โควิด-19 เข้ามาระบาดในช่วงเวลานั้น จึงทำให้คุณโอวามีโอกาสกลับมาอยู่บ้านเกิด และค้นพบตัวตนในเส้นทางเป็นแม่ค้าออนไลน์ขายข้าวให้กับครอบครัว และยังต่อยอดสร้างงานสร้างอาชีพให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย   

Advertisement

“พอโอวาโตขึ้นมาในอีกระดับจึงเข้าใจว่าบางครั้ง เราไม่สามารถทำในสิ่งที่เรารักได้ทั้งหมด เพราะสิ่งที่เรารักมันจะต้องมีวันเปลี่ยนแปลงไป แต่การทำในสิ่งที่เราทำได้ มันเป็นสิ่งที่เรารู้เยอะสุด และสามารถอยู่กับมันได้ตลอดเวลา น่าจะทำได้อย่างยาวนาน เพราะสิ่งที่เราทำได้ โอวาพิสูจน์มาแล้วว่า สามารถทำและอยู่กับมันได้ทั้งชีวิต ซึ่งการทำนาก็คือสิ่งที่ตอบโจทย์สำหรับโอวาในเวลานี้ เพราะเราโตมากับสิ่งนี้ และเห็นมาตั้งแต่เด็ก การทำนาจึงเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของเรา”

Advertisement

จากการได้ทำงานในสายอาชีพอื่นก่อนนี้เอง คุณโอวา บอกข้อดีให้ฟังว่า จุดนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ ทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างออกไป ว่าการขายข้าวของครอบครัวที่ทำมาอย่างยาวนาน ควรที่จะไปในทิศทางไหนและควรสร้างตัวตนในการสร้างจุดขายอย่างไร เพื่อให้เป็นการขายข้าวแบบออนไลน์ตีตลาดได้อย่างมั่นคง 

สร้างจุดเปลี่ยนในครอบครัว 

ขยายสู่ชุมชน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน  

คุณโอวา ยังเล่าถึงจุดเปลี่ยนของครอบครัวให้ฟังว่า ในเรื่องของการขายข้าวออนไลน์นั้น ต้องยอมรับว่าคุณพ่อคุณแม่ในช่วงแรกยังไม่เข้าใจในเรื่องของการทำตลาดออนไลน์มากนัก เพราะฉะนั้นการสร้างความเข้าใจและทดลองให้เห็น จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำในช่วงแรกๆ โดยทำการขายอย่างไรก็ได้ให้เกิดผลกระทบหรือขายแบบให้ขาดทุนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

คุณโอวา ยังเล่าเสริมต่ออีกว่า หากไม่นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่การขายข้าวของครอบครัว ในอนาคตสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้นั้นก็คือ คลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ต้องมีมาอย่างแน่นอน เพราะการเปลี่ยนแปลงมีให้เห็นอยู่เสมอในทุกยุคทุกสมัยของมนุษย์ และที่เห็นได้ชัดนั้นก็คือช่วงโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตและการค้าขายต่างก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน 

“ช่วงที่เกิดโควิด โอวายอมรับเลยว่ามันเป็นช่วงที่เราต้องปรับตัว เพราะช่วงนั้นทุกคนต้องอยู่บ้าน และทุกคนก็ใช้สื่อออนไลน์ในการติดต่อสื่อสารกัน และทุกอย่างที่รับชมก็ต้องเพื่อความผ่อนคลาย ไม่ให้ทุกคนเกิดความเครียด เพราะทุกคนออกไปไหนไม่ได้ เพราะฉะนั้นตัวโอวาเอง ก็ได้สร้างตัวตนและทำกิจกรรมสนุกๆ ลงไปในโลกออนไลน์ด้วย พอเริ่มมีคนติดตามและให้ความสนใจมากขึ้น โอวาก็จะสอดแทรกสิ่งที่มีอย่างการทำนา และผลผลิตจากข้าวเข้ามาประกอบ จนเกิดเป็นการซื้อขายและสร้างตลาดในวงกว้าง” 

คอนเทนต์ ชีวิตชาวบ้านในแบบฉบับโอวา 

สร้างทั้งความสุข และเป็นจุดขายทำเงิน

สำหรับคอนเทนต์ที่ได้ทำลงตามช่องทางสื่อออนไลน์นั้น คุณโอวา เล่าว่า ภาพจำของท้องทุ่งนาถือเป็นสิ่งที่ใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ หรือจะเห็นผ่านตามช่องรายการโทรทัศน์ ทุกคนย่อมผ่านประสบการณ์หรือการได้เห็นมาแล้วแทบทั้งสิ้นในบริบทของคนไทย เพราะฉะนั้นการทำคอนเทนต์จึงเป็นเชิงวิถีชีวิตชาวนา โดยใช้ฉากท้องไร่ท้องนาเข้ามามีส่วนประกอบอยู่เสมอ รวมไปถึงการแต่งตัวที่มีเอกลักษณ์ เพื่อให้ผู้ที่รับชมได้เกิดภาพจำในคอนเทนต์ที่ถ่ายทอดออกมา 

“สิ่งที่โอวาต้องการให้เขาเห็น จากสิ่งที่ทำออกไปนั้น ก็คือวิถีชีวิตของเราจริงๆ ที่เป็นลูกชาวนามาตั้งแต่เด็ก เพราะกลุ่มคนที่ได้ดูไม่จำเป็นต้องโตจากต่างจังหวัด แต่เป็นคนที่อย่างน้อยก็ได้เห็นวิถีชีวิตเหล่านี้ จากสื่อโซเชียลอยู่แล้ว โอวาก็ได้นำสิ่งเหล่านี้มาต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแต่งตัว ฉบับกะเทยขายข้าวเข้าไป เพื่อเป็นการสร้างภาพจำให้กับคนดู หลังจากมีตัวตนแล้วจะค่อยๆ นำเสนอสินค้าที่เรามีเข้ามาสอดแทรก โดยมีเรื่องราวเอนเตอร์เทนสร้างความสนุกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ และมีเรื่องของการขายข้าวเข้าไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่โอวาทำจากสร้างความสุขให้คนชม ต่อมามันก็สร้างรายได้ให้กับเราด้วยเช่นกัน” 

การทำนา การผลิตข้าว ยิ่งมีเรื่องราว 

ลูกค้ายิ่งอยากรู้ อยากสัมผัส อยากชิม 

ในเรื่องของระบบการทำนาเพื่อให้ได้สินค้าข้าวอินทรีย์ที่มีคุณภาพนั้น คุณโอวา บอกว่า การทำนาของครอบครัวหรือแม้แต่ผู้คนในชุมชน ทุกอย่างทำด้วยระบบอินทรีย์ทั้งหมด แต่สิ่งที่ทำนี้เองยังขาดการเล่าเรื่องสำหรับถ่ายทอดให้กับคนภายนอกได้รับรู้ เมื่อเห็นภาพรวมชัดเจนมากขึ้น การทำนาแบบอินทรีย์ของครอบครัวและผู้คนในชุมชน จึงต้องได้รับการถ่ายทอดเป็นเรื่องราวมากขึ้น โดยเล่าเรื่องกิจกรรมการทำนาต่างๆ ของชุมชนให้มากขึ้น 

คุณโอวาจะทำให้ลูกค้าได้เห็นว่าการผลิตข้าวของชุมชน เป็นการปลูกข้าวแบบอินทรีย์ และผลผลิตทั้งหมดมีคุณภาพ จนทำให้ลูกค้าที่ได้ชมผ่านทางช่องทางออนไลน์นั้น อยากที่จะซื้อและลองชิมข้าวที่คุณโอวาขายสักครั้ง เพราะการมีเรื่องราวถือเป็นสิ่งที่กระตุ้นความอยากรู้อยากลองของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

“อย่างที่ทราบกันดี การทำนาในแถบอีสาน ทุ่งนาของเราจะเป็นโคก การทำนาปกติก็จะพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก เพราะฉะนั้นการทำนาก็แค่ปีละ 1 ครั้ง และยิ่งทำแบบเกษตรอินทรีย์ด้วยแล้ว ผลผลิตต่อไร่ไม่ได้สูงมาก อย่างต่ำเฉลี่ยก็ประมาณ 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ โดยข้าวสายพันธุ์ที่เราปลูกก็จะมีข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 105 และ กข15 ด้วย ซึ่งเราต้องบริหารให้ดี เพื่อให้มีข้าวขายตลอดทั้งปี”

ถ้าอยากทราบว่าในเรื่องของการทำตลาดข้าวออนไลน์ทำอย่างไรให้ปัง สามารถมาร่วมพูดคุยกันได้ที่งาน มหัศจรรย์ข้าวไทย 2024 ซึ่งคุณโอวาจะมาเผยเคล็ดลับการทำตลาดขายให้มีรายได้แบบไม่มีกั๊กภายในงานนี้!!! 

ถ้าอยากรู้จัก “ข้าวให้มากขึ้น” พบกันได้ที่ #งานมหัศจรรย์ข้าวไทย 2024 งานที่มัดรวมข้าว GI ที่หายากจากทุกสารทิศทั่วไทยมาไว้ในงานเดียว!

พร้อมเดินทัวร์ให้รู้ว่าข้าวไทยทำถึง กับนิทรรศการข้าวสุดอลัง ฟังเสวนาที่ครบรสทั้งความรู้และความบันเทิง จัดเต็มกับเวิร์กช็อป และการสาธิตสารพัดเมนูจากข้าวทั้งคาว-หวานครบรส #ข้าวไทย ก็ทำได้จริง แถมได้ช้อปปิ้งสินค้าเกี่ยวกับข้าวที่หลากหลายกันให้หนำใจ

มาชิมให้รู้ มาชมให้เห็นกับตาว่า #ข้าวไทยอร่อยที่สุดในโลก เตรียมตัวพบกันวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 2 มิถุนายนนี้ ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เดินทางสะดวกด้วยรถโดยสารสาธารณะ, รถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีสามย่าน ทางออกที่ 2 เข้าฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย