ผู้เขียน | สุรเดช สดคมขำ |
---|---|
เผยแพร่ |
การเลี้ยงไก่ไข่ในปัจจุบันการคำนึงถึงในเรื่องของการทำตลาด ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกษตรกรต้องให้ความสนใจมากขึ้น เพราะในแต่ละช่วงเวลาของการซื้อขายนั้น โดยเฉพาะความต้องการของผู้บริโภคมีเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งการผลิตสินค้าแบบตลาดนำการผลิตจะยิ่งเป็นตัวช่วยทำให้ตลาดเติบโต โดยเฉพาะตลาดผู้รักสุขภาพที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

คุณบี หรือ คุณภานุวัฒน์ น้อยแก้ว เจ้าของ “บีอินดี้ คันทรี ฟาร์ม” เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ให้ความสนใจการเลี้ยงไก่ไข่แบบปลอดภัย โดยเน้นในเรื่องของการปล่อยไก่ไข่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระภายในโรงเรือนบนบ่อเลี้ยงปลา เพราะนอกจากจะช่วยทำให้ไก่ไข่ที่เลี้ยงมีอารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยทำให้ไก่ไข่ภายในฟาร์มออกไข่ได้อย่างมีคุณภาพ ส่วนของเสียที่ไก่ไข่ขับถ่ายมานั้นยังสามารถเป็นอาหารใช้เลี้ยงปลาเบญจพรรรณภายในบ่ออีกด้วย
มองการทำตลาดที่ยั่งยืน
สู่การเลี้ยงไก่ไข่ ด้วยระบบปลอดภัย
คุณบี เล่าให้ฟังว่า ผู้ที่บุกเบิกในเรื่องของการเลี้ยงไก่ไข่นั้นคือ คุณพ่อคุณแม่ ซึ่งคุณบีเองหลังจากจบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีแล้ว จึงได้เข้ามาช่วยครอบครัวเลี้ยงไก่ไข่ทันที สำหรับการเลี้ยงในช่วงแรกๆ จะเน้นเลี้ยงแบบใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นหลัก โดยเลี้ยงกรงตับตัังแต่กรงเหล็กไปจนถึงกรงไม้ ปล่อยไก่อยู่ภายในกรง กรงละ 1 ตัว ซึ่งช่วงที่ครอบครัวทำถือว่าได้ผลกำไรเป็นอย่างดี และเมื่อคุณบีมารับช่วงต่อการส่งไข่ไก่ขายเริ่มมีจำนวนลดลง จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณบีปรับเปลี่ยนมุมมองตลาดเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
“พอผมต้องมารับช่วงต่อจากครอบครัว บอกเลยว่าการขายมันได้น้อยลง โดยรู้สึกว่าการเลี้ยงก็เลี้ยงเหมือนกัน แต่การขายมันเหนื่อยขึ้นครับ เพราะปลายทางมันขายได้น้อย จากที่จะมีกำไร กลับได้กำไรน้อยลงเรื่อยๆ ผมเริ่มเห็นคนสนใจสุขภาพมากขึ้น คนนิยมอาหารปลอดภัย การเลี้ยงไก่ไข่ของผมต้องตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องนี้ ผมใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยให้การเลี้ยงมีความปลอดภัยมากขึ้น”
สำหรับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้การเลี้ยงไ่ก่ไข่มีความปลอดภัยนั้น คุณบี เล่าว่า การหาข้อมูลและสอบถามผู้รู้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสัตวแพทย์ที่เข้ามาตรวจเยี่ยมภายในฟาร์มของคุณบีอยู่เสมอ การสอบถามและการเรียนรูัเกี่ยวกับการเลี้ยงให้มีความปลอดภัย และดูแลเรื่องความสะอาด เพื่อให้ไก่ไข่ปลอดโรคอยู่เสมอ
การสร้างอาหารปลอดภัย “หลักยึด”
เป็นหัวใจสำคัญในการเลี้ยงไก่ไข่
สำหรับการเลี้ยงไก่ไข่สไตล์ “บีอินดี้ คันทรี ฟาร์ม” นั้น คุณบี เล่าว่า สิ่งสำคัญที่สุดตั้งแต่กระบวนการผลิตต้องเริ่มใส่ใจในเรื่องของอาหารที่ใช้เลี้ยง โดยอาหารที่นำมาให้ไก่กินเป็นวัตถุดิบที่ผ่านการผลิตที่ได้มาตรฐาน GAP เพื่อให้ทราบว่าวัตถุดิบที่นำมาจากแหล่งผลิตใดบ้าง และสามารถตรวจสอบย้อนกลับที่มาของแต่ละล็อตของวัตถุดิบที่ส่งเข้ามาได้
การสร้างโรงเรือนในการเลี้ยงไก่ไข่ คุณบีจะสร้างให้อยู่บนบ่อน้ำที่มีพื้นที่ประมาณ 8 ไร่ ซึ่งก่อนที่จะนำไก่ไข่มาปล่อยในโรงเรือน ต้องเตรียมรังไข่สำหรับให้ไก่ไว้วางไข่ให้พร้อม จัดสรรพื้นที่คุ้ยเขี่ย สร้างคอนสำหรับให้ไก่ได้เกาะและต้องทำการจดบันทึก ทั้งในเรื่องของการพ่นยาฆ่าเชื้อโรคภายในพื้นที่โรงเรือนอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อทำความสะอาดโรงเรือนผ่านมาได้ประมาณ 7 วัน คุณบีจะนำไก่ไข่ที่เป็นไก่สาวมีอายุประมาณ 16-18 สัปดาห์ ปล่อยในพื้นที่ที่เตรียมไว้ประมาณ 2,500-3,000 ตัวต่อโรงเรือน โดยไก่ไข่ที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระนั้น ในเรื่องของการให้อาหารจะมีการคำนวณ ซึ่งจำนวนอาหารที่ให้ต่อวันอยู่ที่ตัวละ 130 กรัม อาหารมีเปอร์เซ็นต์โปรตีนไม่ต่ำกว่า 17 เปอร์เซ็นต์
“ไก่ไข่ที่นำมาทำการเลี้ยงอายุ 16 สัปดาห์เป็นต้นไป หลังจากมาใส่ลงในพื้นที่เลี้ยงไม่นาน ก็จะเริ่มออกไข่มาให้เก็บได้แล้วครับ การออกไข่ตัวไหนที่สมบูรณ์พันธุ์ไว ก็จะออกไข่ได้ไวหน่อย แต่เมื่อเลี้ยงจนไก่ไข่ได้อายุที่ 35-40 สัปดาห์ ไก่ก็จะออกไข่ได้เต็มที่ ให้สามารถเก็บขายได้ตลอดทุกวัน”
สำหรับในเรื่องของการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นกับไก่ไข่นั้น คุณบี บอกว่า ในเรื่องของการป้องกันถือว่ามีความสำคัญ หลักปฏิบัติจะเน้นในเรื่องของการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ดูแลทำความสะอาดอุปกรณ์ทั้งหมดที่อยู่ภายในโรงเรือน และที่ขาดไม่ได้คือการทำวัคซีนให้กับไก่ไข่ในฟาร์มทุก 2 เดือนครั้ง
ซึ่งของเสียที่ไก่ขับถ่ายออกมาในแต่ละวันนั้น จะเป็นอาหารให้กับปลาที่อยู่ภายในบ่อ โดยปลาที่ปล่อยเลี้ยงอยู่ภายในบ่อใต้โรงเรือนเลี้ยงไก่ อัตราการปล่อยเลี้ยงอยู่ที่ 5,000 ตัวต่อไร่ ซึ่งขนาดบ่อ 8 ไร่ จะมีปลาต่อบ่อทั้งหมดประมาณ 40,000 ตัว
“ปลาที่เลี้ยงภายในบ่อก็จะประกอบไปด้วย ปลานิล ปลาตะเพียน ปลายี่สก และปลานวลจันทร์ ซึ่งปลาแต่ละสายพันธุ์ที่นำมาเลี้ยง จะเลือกเป็นรอบๆ ไป ว่าจะเลือกแบบไหนส่งขายทำตลาด ซึ่งปลาหลังจากที่เราเลี้ยงได้อายุ 7-8 เดือน ก็สามารถจับขายได้ทั้งหมด จากนั้นก็จะเตรียมบ่อรอบใหม่และเลี้ยงปลาในครั้งต่อไป”
ความปลอดภัย เป็นความยั่งยืน
ที่คุณบีใช้เป็นหลัก “การทำตลาด”
สำหรับไข่ที่เก็บขายได้จากไก่ไข่ที่เลี้ยงนั้น คุณบี บอกว่า ต่อรอบรุ่นจะสามารถเก็บไข่ได้อยู่ประมาณ 70-75 เปอร์เซ็นต์ต่อรอบปี หรือเฉลี่ยง่ายๆ ในแต่ละวันสมมุติเลี้ยงไก่อยู่ที่ประมาณ 3,000 ตัว จะเก็บไข่ขายได้ประมาณ 2,300-2,400 ฟองต่อวัน ซึ่งไก่ไข่ทั้งหมดภายในฟาร์มหลังเลี้ยงได้ประมาณ 84 สัปดาห์ จะทำการปลดระวางทันทีและนำไก่ไข่สาวชุดใหม่เข้ามาเลี้ยงในรอบถัดไป
โดยตลาดส่งขายไข่ที่เลี้ยงในระบบปลอดภัยการสร้างความยั่งยืนมีความสำคัญมาก คุณบี บอกว่า ต้องมาทำการกำหนดทิศทางการขายใหม่ เพราะสมัยก่อนตลาดที่ครอบครัวทำจะเน้นส่งขายพ่อค้าคนกลาง แต่เมื่อได้มามองในเรื่องของความยั่งยืน เพื่อให้เจอกลุ่มลูกค้ามากขึ้น การเลี้ยงแบบปลอดภัยจึงสามารถทำตลาดได้ระยะยาว
“พอผมทำตลาดที่ชัดเจนในเรื่องของความปลอดภัย กลุ่มผู้บริโภคก็จะชัดขึ้น เขาจะเห็นว่าที่ฟาร์มมีการจัดการแบบไหน เลี้ยงด้วยวิธีใด ก็จะทำให้มั่นใจในไข่ที่ขายออกจากฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันราคาที่ขายอยู่ที่ฟองละ 5-6 บาทครับ ซึ่งเรตไข่ปลอดภัยมาตรฐานอาหารปลอดภัย ราคาก็จะอยู่ประมาณนี้ครับ”
สำหรับท่านที่สนใจอยากเลี้ยงไก่ไข่ปลอดภัยให้ประสบผลสำเร็จ คุณบี แนะนำว่า ต้องเริ่มจากสิ่งที่มีก่อน ค่อยๆ พัฒนาผลผลิตไป โดยเฉพาะการทำแบรนด์ที่ชัดเจนจะช่วยให้เห็นตลาดที่ชัดมากขึ้น ซึ่งคุณบีเน้นในเรื่องของกลุ่มตลาดอาหารปลอดภัย การมุ่งเน้นการขายจึงเป็นกลุ่มผู้รักสุขภาพเป็นหลัก เมื่อแบรนด์ชัดก็จะเป็นตัวช่วยการันตีผลผลิตได้เป็นอย่างดี
หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คุณบี หรือ คุณภานุวัฒน์ น้อยแก้ว เจ้าของ บีอินดี้ คันทรีฟาร์ม เลขที่ 82/2 เขตเทศบาลเมืองสองพี่น้อง ถนนราษฏร์อุทิศ ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี โทรศัพท์ 063-956-9478