เผยแพร่ |
---|
คุยกับ “อาจารย์เปิ้ล ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์” นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการศึกษาและวิจัย “สัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น” (Alien Species) มานานกว่า 20 ปี ถึงบทเรียน “ปลาหมอคางดำ” การกำจัดปลาชนิดนี้ให้เป็นศูนย์คงเป็นไปได้ยาก พร้อมประเมินถึงช่วงฤดูฝน น้ำหลาก มีโอกาสแพร่พันธุ์มากน้อยแค่ไหน
วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับประชาชาติธุรกิจ ว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวการเริ่มระบาดของปลา “ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น” (Alien Species) จนมาถึงปรากฏการณ์พบปลาหมอสีคางดำ หรือปลาหมอคางดำ เป็นจำนวนมากที่แพร่มายังบึงมักกะสัน พื้นที่ กทม. และจังหวัดใกล้เคียง
เรื่องนี้ต้องย้อนกับไปดูว่าปลาชนิดนี้มันอยู่มานานแค่ไหนแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมันแพร่ไปในวงกว้างแล้วเกินกว่า 10 จังหวัด และมันอยู่กับเรามานานแล้วเกินกว่า 10 ปีนับตั้งแต่ที่มีการนำเข้ามาครั้งแรก
แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาคนเพิ่งตื่นตัว ถ้าจะพูดถึงในแง่ของการกำจัดปลาหมอคางดำ เนื่องจากตอนนี้มันมีประชากรเยอะมาก ดังนั้น การกำจัดปลาชนิดนี้ให้เป็นศูนย์คงเป็นไปได้ยาก แต่จะทำอย่างไรให้ประชากรมันลดลงน้อยกว่าเดิม เพื่อไม่ให้ระบบนิเวศเสียหายไปมากกว่านี้ อันนี้ก็ถือเป็นแนวทางแก้ไขปัญาในระยะสั้น ในเรื่องการลดประชากร
แม้ตอนนี้จะมีหลายแนวทาง แต่แนวทางบางอย่างต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะบางอย่างมันอาจทำให้ระบบนิเวศน์เสียหายเพิ่มขึ้น เช่น ถ้าเราไปจับปลาหมอคางดำเพื่อมาประกอบอาหารกินก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะเอาปลาผู้ล่าชนิดอื่นไปล่าปลาหมอคางดำอีกก็อาจมีความเสี่ยง เพราะถ้าเราปล่อยผู้ล่าลงไปเยอะเราก็ต้องมีข้อควรระวังว่ามันจะทำให้ระบบนิเวศน์พังลงไปหรือไม่
ในขณะเดียวกัน เรื่องนี้ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของประเทศไทยที่เกิดขึ้นของการระบาดสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ที่มีเยอะมากในตอนนี้ และต้องกลับมาให้ความสำคัญแล้วว่าการป้องกัน มันจะเป็นแนวทางที่ดีกว่าการแก้ไขหลังจากที่มีผลกระทบหรือเปล่า เพราะสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ถือเป็นเรื่องนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการทำมานานแล้วว่า 20 ปี อย่างตนเองก็เคยไปศึกษาปริญญาเอกอกสาขาสัตววิทยา จากประเทศสหรัฐ อเมริกา ก็พบว่าที่ต่างประเทศเขาให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มาก
โดยตามหลักวิชาการแล้ว ในกระบวนการนำเข้าสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เขาจะให้ความสำคัญกับการป้องกันการหลุดรอดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งน้ำสาธารณะตั้งแต่แรก เพราะถ้าปล่อยให้มันหลุดไปแล้ว จะทำให้ความสารถในการกำจัดและแก้ไขปัญหาเป็นไปได้ยาก ดังนั้น จึงต้องมีแนวทางป้องกันที่เข้มข้นตั้งแต่แรก
ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้น ถือเป็นบทเรียนที่เราจะต้องแก้ไขกันต่อไป แต่คงไม่สายเกินไปที่จะทบทวนว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะมีมาตรการควบคุมที่เข้มข้นในการนำเข้าสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น สำหรับประเทศไทย
“ปลาหมอคางดำ” ลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่ไม่ธรรมดา
สำหรับปลาหมอคางดำ ถือเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ในแง่ของสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มารุกรานระบบนิเวศ เพราะมันสามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว และกินอาหารได้หลากหลาย โดยแม่ปลา 1 ตัว สามารถมีไข่ได้หลายร้อยฟอง และการฟักไข่ของปลาหมอคางดำจะใช้เวลาฟักแค่ประมาณ 6 วัน แล้วพ่อปลาจะดูแลลูกปลาด้วยการอมไว้ในปากประมาณ 2 สัปดาห์ จากนั้นปลาจะฟักออกจากไข่มาเป็นตัว
จะเห็นได้ว่าการสืบพันธุ์ของปลาหมอคางดำเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น และพฤติกรรมการกินอาหารของมัน ก็สามารถกินได้หมดทั้งพืช สัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลา ตลอดจนซากพืชซากสัตว์ จึงไม่แปลกที่มันสามารถธแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ปลาหมอคางดำยังเป็นสัตว์ก้าวร้าว เพราะมันต้องการอาหารเยอะ กินบ่อย และหิวเร็ว อาหารที่มันกินเข้าไปสามารถย่อยได้ภายใน 30 นาที สิ่งเหล่านี้ถือเป็นอีกลักษณะพิเศษของมัน เช่นเดียวกับสัตว์พันธ์ต่างถิ่นอื่นๆ ที่เข้ามารุกรานก็มีลักษณะพิเศษเช่นเดียวกัน ที่มีการสืบพันธ์เร็ว และกินอาหารเยอะ
ฤดูฝน-น้ำหลาก มีโอกาสแพร่พันธุ์มากน้อยแค่ไหน?
ศ.ดร.สุชนา ให้มุมมองต่อเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ ว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะโดยปกติเมื่อฝนตกแล้วน้ำท่วม โอกาสที่สัตว์น้ำจะหลุดรอดไปตามแหล่งน้ำธรรมชาติเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะมีปริมาณน้ำมากขึ้น หรือหากมีน้ำท่วมปลาหมอคางดำก็สามารถหลุดรอดไปจังหวัดอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น หากกระแสน้ำพัดพามันไปลงสู่ทะเล ก็สามารถแพร่กระจายไปสู่จังหวัดอื่นๆ ในวงกว้างได้ด้วย เพราะปลาชนิดนี้สามารถว่ายน้ำได้ดีประมาณหนึ่ง ถือเป็นข้อกังวลและต้องจับตาดูว่าช่วงน้ำหลากนี้มันจะแพร่กระจายได้เร็วขึ้นมากน้อยแค่ไหน
ปลาหมอคางดำ กับแหล่งน้ำไทย อยู่ที่ไหนได้บ้าง ?
ปลาหมอคางดำ สามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม แม้กระทั่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำไม่ดีพอหรือน้ำสกปรก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรณีบึงมักกะสันที่มีน้ำไม่สะอาดหรือคุณภาพน้ำไม่ดี ก็ถือเป็นอีกตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ปลาชนิดนี้สามารถดำรงอยู่ได้ แต่ที่เห็นมันน็อคน้ำก็เพราะมันมีน้ำน้อยและขาดออกซิเจน นับว่าเป็นสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่สามารถปรับตัวเข้ากับระบบนิเวศท้องถิ่นของไทยได้อย่างน่ากังวลมาก
หน่วยงานรัฐ กับบทบาทการกำกับดูแล
เรื่องของปลาหมอคางดำ ถือเป็นแค่เคสเดียว จากหลายเคส ตัวอย่างเช่น กุ้งขาวที่เราบริโภคกันอยู่ในปัจจุบันก็นับว่าเป็นพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่มาจากอเมริกาใต้ แต่ไม่ได้กังวล นั่นบ่งบอกว่าหลายครั้งเราไม่ได้เอาชนิดพันธ์ต่างถิ่นมาเป็นเรื่องที่เป็นปัญหา เพราะคิดว่าเมื่อเอาเข้ามาแล้วมีมูลค่าเศรษฐกิจมาก มันเลยทำให้เราโฟกัสตรงนั้นมากกว่า
“หากจะโฟกัสว่าสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นหลุดรอดไปแล้วมันจะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน อย่างกุ้งขาวหลุดไปแล้วมันมีผลกระทบมากเลยนะ แต่พอเรานำมาขายก็ได้เงินเยอะ เลยไม่กังวลกับระบบนิเวศน์มากเท่าไหร่ ดังนั้นเราต้องเก็บมาคิดแล้วว่าเราควรมีมารตรการที่เข้มข้นมากขึ้นอย่างไร
ต้องตระหนักว่า การที่จะนำสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเข้ามา ต้องคิดให้รอบคอบว่า นำเข้ามาแล้วมีประโยชน์กับเราจริงหรือไม่ แล้วถ้ามันหลุดไปจริงๆ เราจะกำจัดมันได้จริงหรือเปล่า ซึ่งเห็นได้จากที่ผ่านมาเกือบ 100% ไม่สามารถเก็บได้หมดไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม
ขณะเดียวกัน ประแทศไทยเองมีความหลากหลายของชนิดพันธ์ดั้งเดิมมากอยู่แล้ว ดังนั้นต้องตั้งคำถามว่ามีความจำเป็นจริงหรือไม่ ที่จะนำเข้าสัตว์ชนิดพันธ์ต่างถิ่นมาจากต่างประเทศแล้วใช้ประโยชน์จากมัน ทำไมเราไม่พัฒนาหรือส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของสัตว์พันธ์ดั้งเดิมในท้องถิ่นที่มีอยู่แล้วในประเทศของเราก่อน” ศ.ดร.สุชนา กล่าว
ปลาหมอคางดำ กำจัดแบบไหนดี?
ตามหลักวิชาการแล้วการกำจัดที่ดีที่สุดคือ การจับมากิน เพราะมนุษย์เราก็ยังต้องการอาหาร ปลาชนิดนี้ก็เป็นปลาที่กินได้และเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้น การกินก็จะช่วยลดจำนวนลงได้พอสมควรทีเดียว
แต่แนวทางอื่นที่บอกว่า การปล่อยปลาผู้ล่า ถ้าตามหลักกวิชาการแล้วถือเป็นทางเลือกท้ายๆ ที่จะแนะนำ เพราะถือเป็นความเสี่ยงมากที่เราเอามาใช้กำจัดปลาชนิดพันธุ์ต่างถิ่น แม้จะเป็นปลาเจ้าถิ่นที่อยู่ในไทยก็ตาม แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าการเอาปลาจากแหล่งอื่น มาเป็นผู้ล่า แล้วบริเวณนั้นเคยมีตัวผู้ล่าชนิดนั้นมาก่อนหรือเปล่า ถ้าไม่มีตัวผู้ล่ามาก่อนแล้วเอาอีกตัวผู้ล่าไป ก็อาจยิ่งจะทำให้ระบบนิเวศแปรปรวนและเสียหายได้
ดังนั้น การนำมากินหรือการนำปลาไปพัฒนาเป็นโปรดักส์ต่างๆ ก็ถือเป็นแนวทางที่ดี หรือการทำดัดแปลงพันธุกรรมทำให้ปลาเป็นหมันและไม่สามารถสืบพันธ์ได้ แล้วควบคุมการระบาดหรือทำให้จำนวนมันก็ลดลง ก็ถือเป็นวิธีที่ลดความเสี่ยงได้
บทเรียนจากระบาดของปลาหมอคางดำ ในปี 2567
ศ.ดร.สุชนา กล่าวในช่วงท้ายว่า เมื่อเรียนรู้แล้วว่าการนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นจะมีผลกระทบ ซึ่งกรณีปลาหมอคางดำนี้เป็นพียงหนึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ดังนั้น สำหรับประชาชนถ้าหากพบเห็นปลาชนิดพันธุ์ต่างถิ่น แล้วมาการแจ้งหรือรายงานไปยังภาครัฐ ก็จะช่วยทำให้ภาครัฐติดตามได้ง่ายขึ้น และมีข้อมูลมากขึ้น เพราะหลายครั้งภาครัฐเองก็ไม่มีข้อมูลว่าสัตว์ชนิดพันธ์ต่างถิ่นมีอยู่ที่ไหนบ้าง หากประชาชนช่วยกันแจ้งหรือรายงานก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
นอกจากนี้ จากการสำรวจของในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังพบว่า เอกชนมีการนำสัตว์ชนิดพันธ์ต่างถิ่นเข้ามา ทั้งการนำเข้ามาโดยถูกกฎหมายและมีการแจ้งรายงานไปยังภาครัฐ และยังมีบางส่วนที่นำเข้ามาแบบที่ไม่ถูกกฎหมายคือการแอบนำเข้ามาเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม แต่เมื่อเพาะเลี้ยงไปเยอะๆ แล้วความต้องการซื้อน้อยลง หรือราคาถูกลง สิ่งที่เขาทำคือการปล่อยลงแหล่งน้ำ แต่ตามหลักวิชาการถ้าเป็นชนิดพันธ์ต่างถิ่น วิธีกำจัดที่ถูกต้องคือการฆ่าอย่างเดียว
แต่ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ และคนที่นำไปปล่อยเขาก็ให้เหตุผลว่า “อยากทำบุญมากกว่า ก็เลยเอาไปปล่อย” แต่การปล่อยนี้เอง คือการสร้างผลกระทบกับระบบนิเวศ จึงทำให้สัตว์ชนิดพันธ์ต่างถิ่นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/general/news-1612555