กยท. เล็งปลาหมอคางดำ ทุ่มงบ 50 ล้านบาท ผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำ

กยท. เล็งปลาหมอคางดำ ทุ่มงบ 50 ล้านบาท ผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำ หวังลดต้นทุนการผลิตในสวนยาง ชี้งบประมาณดำเนินการชอบด้วยกฎหมาย

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ทุ่มงบ 50 ล้านบาท ผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำ หนุนการใช้น้ำหมักในพื้นที่สวนยางแปลงใหญ่ มุ่งลดต้นทุนการผลิตแก่เกษตรกรชาวสวนยาง ยันใช้งบประมาณตามกฎหมาย-แย้มพร้อมดีลเชฟชุมพลแจกเมนูปลาหมอคางดำเซฟกระทะเหล็ก

นายเพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย

นายเพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อเกิดปลาวิกฤตหมอคางดำระบาด กยท. น่าจะเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่ออกมาซัพพอร์ตวิกฤตนี้ของไทย โดยมองเป็นโอกาสจึงประกาศใช้งบประมาณจากกองทุน กยท. มาตรา 13 สำหรับใช้ในการดำเนินธุรกิจของ กยท.  50 ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย เพื่อเข้าไปซื้อปลาในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) มาทำน้ำหมักชีวภาพ ไม่ได้ใช้งบประมาณในการรักษาเสถียรภาพราคายาง ซึ่งเป็นเงินคนละส่วนกัน มันนำมาใช้ไม่ได้ ถ้านำมาใช้นั้นหมายถึงคนทำก็ต้องทำผิดกฎหมายและติดคุกแน่นอน เชื่อว่าคน กยท. ไม่มีใครจะเอาตัวไปเสี่ยงแน่นอน

ทั้งนี้ หลังประกาศซื้อ กยท. ก็ได้ลงพื้นที่สมุทรสาครต้นกำเนิดการระบาดของปลาหมอคางดำ พบว่า จำนวนปลามีเหลือไม่มากแล้ว และที่สำคัญก็มีเอกชนหลายเจ้า รับซื้อหรือล่าปลาหมอคางดำมานานกว่า 4-5 เดือนแล้ว ได้ปลาไปแล้วประมาณ 400,000-500,000 แสนกิโลกรัม จึงมองว่างบประมาณ 50 ล้านบาท น่าจะเพียงพอ แต่หากไม่พอก็จะรับซื้อต่อเนื่อง เพราะงบนี้สามารถขยายได้ถึง 300 ล้านบาท โดยคาดว่างบประมาณดำเนินการจะสามารถรับซื้อปลาหมอได้ประมาณ 1,000 ตัน ผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพได้ปริมาณ 1.6 แสนลิตร สามารถใช้ในพื้นที่สวนยางรวม 320,000 ไร่

สำหรับการทำปุ๋ยน้ำใช้ในภาคการเกษตร มีงานวิจัยรองรับ ในทั้งยุโรปและอเมริกา รวมทั้งประเทศไทยจึงเชื่อว่า แร่ธาตุในน้ำหมักจากปลาจะเกิดประโยชน์ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ให้ชาวสวนยาง ตามนโยบายของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้อีกทาง โดยน้ำหมักชีวภาพจะแปรรูปพร้อมใช้ได้ในสวนยางประมาณเดือนกันยายน 2567 ซึ่งจะนำร่องแจกชาวสวนยางที่อยู่ในการสงเคราะห์ของ กยท. และอีกส่วนหนึ่งจะจำหน่ายราคา 99 บาทต่อลิตร ให้ผู้ที่สนใจนำไปใช้ในการเกษตร ถูกกว่าปุ๋ยน้ำ หรือปุ๋ยชีวภาพอื่นๆ ในท้องตลาด ซึ่งอยู่ที่ราคา 200 บาทต่อลิตร

Advertisement

นอกจากการทำน้ำหมักชีวภาพ กยท. ได้ประสานกลุ่มแม่บ้านภาคอีสาน เพื่อนำปลาไปถนอมอาหาร ทั้งปลาร้า ปลาตากแห้งและปลาส้ม ซึ่งหากขนาดของปลาใหญ่เพียงพอก็จะนำไปทำอาหารได้ ล่าสุด เชฟชุมพล แจ้งไพร หรือ เชฟกระทะเหล็ก พร้อมที่จะร่วมกับ กยท. เพื่อรังสรรค์เมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ พร้อมจะถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องเมนูจากปลาหมอคางดำให้เกิดความเชื่อมั่นในการนำไปรับประทานเป็นอาหาร

Advertisement
นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รองผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ รักษาการแทนผู้ว่าการ กยท.

ด้าน นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รองผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ รักษาการแทนผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า กยท. ตั้งราคารับซื้อปลาหมอคางดำที่กิโลกรัมละ 15 บาท เพื่อนำไปมอบให้กับหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดิน หรือสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่สมัครเข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพ ตามสูตรของกรมพัฒนาที่ดิน และส่งมอบให้ กยท. นำไปแจกจ่ายแก่เกษตรกรเพื่อนำไปใช้ในพื้นที่สวนยางในโครงการแปลงใหญ่กว่า 200,000 ไร่ ซึ่งจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิตในส่วนของปุ๋ยลงได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายของการใช้ปุ๋ยเคมีในโครงการแปลงใหญ่อยู่ที่ 2,000 บาทต่อไร่ ซึ่งหากนำน้ำหมักชีวภาพมาใช้แทนปุ๋ยเคมีดังกล่าว จะสามารถช่วยเกษตรกรในการลดต้นทุนเรื่องปุ๋ยได้ถึง 25% หรือประมาณ 500 บาทต่อไร่

นายสุขทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา การทำสวนยางจะใช้ปุ๋ยเคมีเป็นหลัก วันนี้ กยท. ได้มีการเก็บตัวอย่างดินในสวนยางที่มีอยู่ 20 กว่าล้านไร่ พบว่าสวนยางของพี่น้องเราส่วนใหญ่ขาดธาตุอาหารรองและอาหารเสริม จึงมีคำแนะนำให้กับเกษตรกรชาวสวนยางวันนี้ว่า จะต้องมีการเติมปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก รวมถึงปุ๋ยชีวภาพ เพื่อเสริมสร้างความอุดสมบูรณ์ให้กับดิน ซึ่งคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ลดน้อยถอยลง เพราะฉะนั้นการที่ กยท. นำปลาหมอคางดำมาผลิตน้ำหมักชีวภาพภายใต้มาตรฐานกรมพัฒนาที่ดิน จึงเป็นโอกาสของ กยท. ในการช่วยเหลือชาวสวนยางควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจของ กยท. ด้วย