เผยแพร่ |
---|
หัวใจสำคัญของการทำการเกษตรในโลกยุคดิจิทัล นอกเหนือจาก “ทำอย่างไรให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงๆ” ยังต้องคำนึงด้วยว่า ผลผลิตที่ได้จะต้องมีคุณภาพดี ทำให้สามารถขายได้ราคาดีอีกด้วย นั่นเป็นที่มาของ Upskill และ Reskill ที่หน่วยงานเกี่ยวข้องพยายามเสริมเติมให้กับเกษตรกรไทยเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่นับวันยิ่งรุนแรงจนแทบไม่มีที่ยืนเหลือให้กับคนที่ปรับตัวไม่ทัน เหมือนอย่างที่บริษัท แพลททินัม ฟรุ๊ต จำกัด ผู้ส่งออกผลไม้สดเกรดพรีเมี่ยมรายใหญ่ของไทย พยายามบอกกับเกษตรกรผู้เพาะปลูกลำไย หนึ่งในผลไม้ส่งออกที่สำคัญของไทย
“เมื่อ 7 – 8 ปีที่แล้วคนที่เอาลำไยมาขายกับเรา พวกเกรด AA แทบไม่มีเลยหายากมาก แต่เราก็ช่วยกันให้ความรู้ แนะนำวิธีการพัฒนาผลผลิตขึ้นมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันส่วนใหญ่ที่มาขายกับเราเฉลี่ยเกรด AA จะมี 20-30% เกรด A 50–60 % ส่วน B และ C น้อยมากแทบจะไม่มีเลย ส่วนใหญ่จะเป็นเกรดบนหมดเลย ซึ่งชาวสวนก็จะได้ราคาที่ดีไปด้วย ราคาเกรด AA 1 กิโลกรัม กับ เกรด B 1 กิโลกรัม ราคาต่างกันเกือบ 3 เท่า แล้วลำไยเกรดบนพวกนี้มีตลาดรองรับเต็มที่อยู่แล้ว”
ณธกฤษ เอี่ยมสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลททินัม ฟรุ๊ต จำกัด ฉายภาพของชาวสวนลำไยที่นำผลผลิตมาขายให้บริษัทฯ พร้อมขยายความว่า ที่ผ่านมา แพลททินัม ฟรุ๊ต จะมีการเข้าไปให้องค์ความรู้กับชาวสวนลำไยที่ซื้อขายกับโรงงานมาตลอด ว่าแต่ละปีควรทำอย่างไรให้เหมาะสมกับสภาพอากาศปีนั้นๆ โดยบริษัทฯ ช่วยคาดการณ์และแนะนำว่าควรรับมืออย่างไร สมมติช่วงเอลนีโญ อากาศร้อน ชาวสวนก็ต้องไปหาแหล่งน้ำมาเก็บเพื่อใช้ช่วงฤดูร้อนให้มากกว่าเดิม 10 – 20% หรือ ต้องลดปริมาณดอกลำไยลงเพื่อให้น้ำที่มีน้อยเข้าไปบำรุงเฉพาะส่วนทำให้ลูกใหญ่ได้ราคา หรือ ปีหน้าลานีญาน้ำจะเยอะก็จะเตือนว่าต้องหาวิธีป้องกันน้ำท่วมสวน ป้องกันรากเน่า หรือ ฝนตกเยอะใบจะขึ้นราได้ง่าย

แพลททินัม ฟรุ๊ต มีประสบการณ์ในการส่งออกลำไยสดมากว่า 10 ปี เป็นที่รู้จักของชาวสวนลำไยภาคเหนือในนาม “โรงงานลำไย888” โดยแห่งแรกตั้งอยู่ที่อำเภอจอมทอง เชียงใหม่ ต่อมาก็ได้ขยายโรงงานเพิ่มเติมที่อำเภอป่าซาง ลำพูน อำเภอสอยดาว จันทบุรี และล่าสุดคือที่สระแก้วเพิ่งเปิดเมื่อปลายปี 2566 ปัจจุบันมีปริมาณการส่งออกลำไยสดและลำไยแกะเม็ดแช่แข็ง รวมปีละกว่า 20,000 ตัน ตลาดหลักในการส่งออก ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน อินโดนีเซีย และอินเดีย นอกจากนั้นก็มีส่งไปที่นิวซีแลนด์ ฮ่องกง ออสเตรเลียด้วย
ณธกฤษ เล่าให้ฟังว่า แพลททินัม ฟรุ๊ต มีการรับซื้อลำไยสดจากหลายแหล่ง โดยโรงงานแต่ละแห่งจะไม่ใช่จุดรับซื้ออย่างเดียว แต่จะมีการช่วยพัฒนาชาวสวนไปในตัวด้วย โดยลำไยเกรดส่งออกที่บริษัทฯ รับซื้อจะเน้นลูกใหญ่ ผิวสวย เต็มเกรดเพราะตลาดจีนจะชอบเป็นพิเศษ ส่วนในอินโดนีเซียเน้นลูกใหญ่เป็นหลัก ที่ผ่านถ้ามีชาวสวนส่งมาแล้วคุณภาพไม่ได้ ก็ไม่ได้ตีคืนอย่างเดียวแต่มีการส่งทีม R&D ติดตามเข้าไปในสวนช่วยดูว่าเค้าเกิดปัญหาอะไร แนะนำว่าควรพัฒนาแบบใดเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ตลาดต้องการ โดยที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่มักเกิดจากว่าไม่ได้มีการเตรียมดินให้ฟู จึงไม่อุ้มน้ำ หรือ จังหวะกับเวลาการให้ปุ๋ยไม่สัมพันธ์กัน เช่นในเชียงใหม่การออกผลจะอยู่เดือน 7 8 9 แต่บางครั้งดันไปใส่สูตรที่ไม่สัมพันธ์กันทำให้ผลผลิตออกมาไม่ได้ลูกตามที่ต้องการ
“ปัจจุบัน Climate change ทำให้แต่ละปีสภาพอากาศไม่เหมือนกัน เราไม่อาจใส่ปุ๋ยในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว แค่การให้น้ำที่ต่างกันก็ส่งผลให้ลำไยออกผลต่างกัน นี่คือหนึ่งในปัญหาที่เราเจอ เคยพบว่าดิน ปุ๋ย ต้นทุกอย่างดีหมด แต่การให้น้ำผิดการให้ผลผลิตก็เปลี่ยนไปเยอะ แล้วยิ่งตอนนี้เป็นยุคอุตสาหกรรมเกษตร มีเทคโนโลยี มีเทคนิคใหม่ๆ อาจจะใช้ปุ๋ยไม่เยอะแต่ทำให้ต้นไม้ดูดซึมปุ๋ยได้ 100% เราจึงอยากนำองค์ความรู้เหล่านี้ไปถ่ายทอดให้กับเกษตรกร ทำให้เห็นภาพว่า ต้องจัดระบบสวน บริหารจัดการน้ำ คำนวณการให้ปุ๋ย ให้ยาอย่างไรให้ได้ผลผลิตตามคุณภาพการส่งออกทั้งขนาดและผิว รวมถึงเรียนรู้วิธีการเก็บเกี่ยวลำไยให้ได้ราคาดี และอีกเรื่องที่เข้าไปช่วยแนะนำ คือ เรื่องวินัยการเงินอีกพื้นฐานจำเป็นสำหรับชาวสวนยุคใหม่”
ด้วยเหตุนี้ ณธกฤษ จึงแนวคิดทำโมเดลพัฒนาองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับเกษตรกรที่ต้องการทำลำไยเกรดส่งออก โดยเริ่มเฟสแรกช่วงต้นปี 2567 ได้ร่วมกับกลุ่มชาวสวนลำไย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เริ่มต้นจากการหารือร่วมกันว่าถ้าอยากพัฒนาลำไยให้ได้เกรดส่งออก ไม่อยากส่งขายลูกร่วง แพลททินัม ฟรุ๊ตจะมีทีมงาน R&D เข้าไปร่วมสำรวจสวน ให้คำแนะนำกับชาวสวนที่สนใจ พร้อมพาไปดูงานตัวอย่างสวนลำไยที่อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ให้เห็นวิถีการทำเกษตรเชิงอุตสาหกรรม ว่ามีขั้นตอนแบบใดเพื่อจะทำให้ได้ผลผลิตตามคุณภาพการส่งออก (Global GAP) รวมถึงเรียนรู้วิธีการเก็บเกี่ยวลำไยให้ได้ราคาดี ซึ่งการดูงานนี้ทางบริษัทฯ เป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด
หลังจบการดูงานก็สานต่อด้วยกระบวนการต่อเนื่อง โดยคัดเลือกชาวสวนที่ต้องการเพิ่มคุณภาพผลผลิตลำไยตามโปรแกรมที่บริษัทฯ ออกแบบร่วมกับนักวิชาการเกษตร คือ ให้เลือกทดลองพัฒนาตามความสมัครใจ ระหว่าง 1.ปลูกลำไยในฤดู และ 2.ปลูกลำไยนอกฤดู โดยชาวสวนแต่ละรายต้องแบ่งพื้นที่ 5 ไร่มาทำแปลงทดลองเพาะปลูกตามโปรแกรมที่กำหนด โดย แพลททินัม ฟรุ๊ต สนับสนุนองค์ความรู้ในการเพาะปลูก พร้อมส่งมีทีม R&D ช่วยดูแลให้คำปรึกษาแนะนำการพัฒนาที่เหมาะสมกับสวนแต่ละแห่งอย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพลำไยให้เป็นเกรดส่งออก มีกำไรดีเหมือนกับที่ทางจันทบุรีทำได้
โมเดลนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมีชาวสวนลำไยลำพูนเข้าร่วมโครงการรวมเป็นจำนวน 150 ไร่ เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนแรกที่ 100 ไร่ จึงนำมาสู่การต่อยอดในระยะสองที่เป็นการพัฒนาความร่วมมือกับชาวสวนลำไยอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 นี้เป็นต้นไป โดยบริษัทฯ จะเข้าไปมีส่วนช่วยชาวสวนพัฒนาตั้งแต่การล้างต้น ปรับปรุงดิน เตรียมต้น บำรุงต้น วิธีราดสารและการเก็บเกี่ยว เพื่อให้เข้าเกรดส่งออก AA และ A เพราะถ้าทำได้ราคารับซื้อจะห่างจากราคารับซื้อลูกร่วงเกือบ 3 เท่า
“ที่ผ่านมาเวลาที่ภาครัฐ หรือ ผู้ประกอบการ บอกว่าต้องการลำไยคุณภาพ แต่บางทีชาวสวนก็จะไม่เข้าใจไม่เห็นภาพว่ามันต้องเป็นยังไง ซึ่งเราเป็นผู้ส่งออกผลไม้พรีเมี่ยม เรารู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ฉะนั้นเวลาชาวสวนมาเจอเรา หรือ เจอชาวสวนรายอื่นที่มาขายให้เราแล้วได้ราคาดี ก็จะเห็นว่าเป็นอย่างไร แล้วก็กลับไปทำ และเมื่อทำได้จริงเราก็พร้อมรับซื้อด้วยราคาที่ดี เพราะมีตลาดใหญ่รองรับมากถึง 3 ตลาดได้แก่ จีน อินโดนีเซีย อินเดีย และปีนี้ แพลททินัม ฟรุ๊ต ก็วางเป้าว่าจะส่งออกลำไยให้ได้มากกว่าปีที่แล้ว 50% ดังนั้นก็ต้องพัฒนาสินค้าให้ทันกับความต้องการของตลาด ซึ่งยังมีดีมานด์ของลำไยเกรดพรีเมี่ยมอีกมาก” ณธกฤษ กล่าวเสริม

ด้าน นายประสิทธิ์ จันทาดง เกษตรกรชาวสวนลำไย ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เข้าร่วมโครงการกับทางแพลททินัม ฟรุ๊ต บอกว่า ที่ผ่านมาการดูแลสวนลำไยพื้นที่ 40 ไร่ของตนเองก็จะมีการแบ่งพื้นที่ดูแลเป็นล็อกอยู่แล้ว ล็อกละ 5 ไร่ 4 ไร่ 3 ไร่ เวลาใส่สารก็จะแบ่งใส่ไม่ได้ใส่พร้อมกันทีเดียว ผลผลิตในสวนที่ออกมา 30% ก็จะเป็นเกรด A ทั้งของจีนและอินโดนีเซีย ส่วนที่เหลือจะเป็นเกรด B เกรด C คละกันไป จึงอยากจะทำเกรด A และ AA ให้ได้มากขึ้น เลยตัดสินใจมาร่วมกับทางแพลททินัม ฟรุ๊ต เพราะคาดหวังว่าจะได้รับองค์ความรู้ใหม่ๆ มาพัฒนาผลิตผลให้ดีขึ้น ลูกโตขึ้น