รวมเทคนิคลดต้นทุน “เลี้ยงปลานิลในกระชัง” ประหยัดอาหาร ปลาโตดี 3 เดือน จับขาย!

ปลานิล (Oreochromis niloticus) เป็นปลาน้ำจืดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง และได้รับความนิยมในการบริโภคเป็นอย่างมากทั้งในประเทศไทยและยังมีความต้องการของตลาดโลกสูง เนื่องจากมีรสชาติดี เนื้อมีสีขาว สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ จึงทำให้เป็นที่ต้องการของประชาชน แต่ปัญหาที่พบในการเลี้ยงปลานิลเชิงพาณิชย์ คือ ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลกต่ำ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการจัดการการเลี้ยงที่ไม่เหมาะสมและการใช้ปัจจัยในการเลี้ยงไม่เหมาะสม จึงได้นำแนวทางปฏิบัติการลดต้นทุนการผลิตปลานิลเพื่อให้เกษตรกรเลือกไปใช้อย่างเหมาะสมกับศักยภาพของเกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

ซึ่งก่อนที่จะไปถึงเทคนิคการเลี้ยงปลานิลลดต้นทุน เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลควรทราบถึงปัญหาหลักๆ ก่อนว่า ทำไมต้องลดต้นทุนการเลี้ยงปลานิล

1. เนื่องจากการเลี้ยงปลานิลของเกษตรกรค่อนข้างมีต้นทุนสูง ทำให้กำไรลดลง บางรายประสบปัญหาการขาดทุน หรือไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้

2. เพื่อต้องการลดต้นทุนการผลิตลง เพิ่มโอกาสในการแข่งขันในการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ

3. มีการนำเข้าปลานิลจากต่างประเทศเพื่อแปรรูปส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาถูกกว่าในประเทศ

เทนนิคการเลี้ยงปลานิลในกระชังลดต้นทุน

1. ขนาดและรูปแบบของการวางกระชัง

Advertisement

– ขนาดกระชัง มีหลายขนาดขึ้นกับทุนของเกษตรกรและโครงกระชังที่สร้าง เช่น 5x5x2.5 เมตร, 3x6x2.5 เมตร หากกระชังยิ่งใหญ่ยิ่งต้องลงทุนมาก แต่ถ้าสามารถเลี้ยงปลาได้อัตรารอดมากจะได้ผลผลิตสูง

– ขนาดช่องตาอวน ใช้ตั้งแต่ 1/2 นิ้วขึ้นไป เมื่อปลาโตขึ้นจะมีการเปลี่ยนขนาดตาอวนตามไปด้วย เพื่อให้น้ำไหลถ่ายเทผ่านกระชังและพัดพาเอาของเสียออกจากกระชัง ทำให้ปลาโตเร็ว

Advertisement

– วางกระชังในแหล่งน้ำไหลหรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีความลึกไม่ต่ำกว่า 3 เมตร ให้น้ำที่มีคุณภาพดีได้ไหลถ่ายเทผ่านกระชัง และป้องกันกระชังอุดตันเร็วขึ้น ทำให้ปลาโตเร็ว

– วางกระชังให้ห่างกัน 2-3 เมตร และวางซ้อนกันไม่เกิน 2 แถว เพื่อให้น้ำไหลถ่ายเทผ่านกระชังได้ดี และไม่อุดตันง่ายสามารถลดต้นทุน 50% ของค่าจ้างแรงงาน เนื่องจากลดการใช้แรงงานในการทำความสะอาดกระชัง

– ต้องหมั่นทำความสะอาดกระชัง หรือเปลี่ยนกระชังบ่อยๆ เพื่อให้น้ำไหลถ่ายเทผ่านกระชังได้ดี

2. ลูกพันธุ์ปลานิล

– ใช้ลูกพันธุ์ปลานิลที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์แล้ว ได้แก่ ปลานิลจิตรลดา 3 และเป็นปลานิลแปลงเพศ เพราะปลามีลักษณะหัวเล็ก ตัวกว้าง เนื้อหนา เจริญเติบโตเร็ว ได้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ปลานิลทั่วไป 40% และมีอัตรารอดสูงกว่าปลานิลทั่วไป 24%

– กรณีที่แหล่งน้ำมีคุณภาพดี ไม่มีความเสี่ยงต่อการเลี้ยงปลาเป็นเวลานานควรปล่อยพันธุ์ปลาขนาด 25 กรัม กรณีแหล่งน้ำมีความเสี่ยงต่อการเลี้ยงปลานิลเป็นเวลานาน ควรปล่อยปลานิลขนาด 40-60 กรัม ถ้าปล่อยพันธุ์ปลาขนาด 25 กรัม สามารถลดต้นทุนลงได้ 13% ของราคาค่าพันธุ์ปลาต่อตัว

– ปล่อยปลาในอัตรา 15-20 ตัวต่อลูกบาศก์เมตร ปลาเจริญเติบโตเร็ว ได้ขนาดตัวปลาสม่ำเสมอ สามารถจัดการการเลี้ยงได้ทั่วถึง ลดต้นทุนค่าพันธุ์ปลาได้ประมาณ 50% ของราคาพันธุ์ปลาต่อลูกบาศก์เมตร

3. อาหารและการให้อาหารปลานิลในกระชัง

– ให้อาหารปลานิลโปรตีน 30-32% สลับมื้อกับการให้โปรตีน 25-28% ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการเลี้ยง สำหรับการปล่อยลูกปลาขนาด 25 กรัม และให้ในระยะ 2 เดือนสุดท้ายของการเลี้ยง สำหรับการปล่อยลูกปลาขนาด 40-60 กรัม จะลดปริมาณการใช้อาหารโปรตีน 30-32% ลงจากเดิมให้ตลอดระยะเวลาการเลี้ยง และลดต้นทุนค่าอาหารต่อกิโลกรัม ประมาณ 5.18% ของค่าอาหารที่ให้โปรตีนสูงล้วน

– ความถี่ในการให้อาหาร 2-3 มื้อต่อวัน เป็นการให้อาหารปลานิลอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดการสูญเสียอาหารปลา

– ใช้เวลาเลี้ยง 3-4 เดือน ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงนานขึ้นประมาณ 1 เดือน

จะเห็นได้ว่าการเลี้ยงปลานิลลดต้นทุนให้ได้ประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่คือการวางแผนตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายต่างหากคือวิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ที่มา : กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด กรมประมง