ยักษ์ใหญ่ชิงเค้กยานยนต์อัจฉริยะ ชี้สัญญาณขับขี่ไฮบริด-อีวีแซง กระทุ้งรัฐสร้างแรงจูงใจผู้ใช้

“โตโยต้า-นิสสัน-ไทยซัมมิต” ประสานเสียงถึงเวลาผู้ประกอบการรถยนต์ต้องปรับตัวรับยานยนต์ในอนาคต เห็นสัญญาณยอดใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์แบบเดิมๆ มาแรงทั่วโลก ชี้รัฐบาลยังขาดการสร้างแรงจูงใจ

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องเร่งพัฒนาเพื่อกัาวให้ทันการพัฒนาของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีไฮบริดและรถพลังงานไฟฟ้า ซึ่งแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จะทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลงด้วย สังเกตได้จากการเกิดขึ้นของระบบแชร์กรรมสิทธิ์รถยนต์ในอเมริกาเหนือ ที่ผู้บริโภคจะสมัครสมาชิกและใช้รถยนต์ในเวลาที่ต้องการและซื้อรถยนต์น้อยลง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าการสมัครสมาชิก 1 ครั้งจะทำให้รถยนต์หายไปจากถนน 11 คัน หรือตัวอย่างอื่น เช่น การเกิดขึ้นของรถยนต์รับจ้างส่วนบุคคล

นายนินนาท กล่าวว่า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติยังแสดงให้เห็นศักยภาพยานยนต์ในอนาคต เพราะในปัจจุบันรถยนต์หลายยี่ห้อเริ่มมีฟังก์ชั่นการขับเคลื่อนอัตโนมัติในหลายสถานการณ์ เช่น ระบบช่วยจอด การทำระบบนำทาง การบันทึกพฤติกรรมการขับรถ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อธุรกิจประกันภัยและเช่าซื้อรถยนต์อีกด้วย ซึ่งโตโยต้าไม่มีความกังวลในการเปลี่ยนแปลงทางดัานอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากมีโมเดลพลังงานสะอาดจากการพัฒนารถยนต์รุ่นพรีอุสก่อนหน้านี้มาระยะหนึ่งแล้ว

นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นแนวโน้มพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงอื่นๆ ซึ่งนิสสันเองได้พัฒนาระบบยานยนต์อัจฉริยะ โดยตั้งเป้าหมายการพัฒนาให้เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติมีอัตราอุบัติเหตุเป็นศูนย์ และลดปัญหาจราจรต้ดขัด ผ่านฟังก์ชั่นการควบคุมล้อ ระบบกระจกมองหลังอัจฉริยะ ระบบช่วยเหลือการจอดรถและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตามมองว่ารัฐบาลยังขาดการสร้างแรงจูงใจให้กับฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคหันมาใช้รถพลังงานสะอาด

“สำหรับการลงทุนในไทย นิสสันได้ก่อตั้งโรงงานแห่งที่ 2 ขึ้น เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์กว่า 400,000 คันต่อปี และได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา” นางเพียงใจ กล่าว

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ไทยซัมมิต เปิดเผยว่า เทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้ จะเกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น เซ็นเซอร์การเปลี่ยนช่องทางจราจร การแจ้งเตือนผู้โดยสาร สำหรับรถอีวี นั้น มองว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2573-2583 หรือเร็วกว่านั่น โดยมีฝรั่งเศสและอังกฤษเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

นายธนาธร กล่าวว่า สำหรับไทยซัมมิต ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านจีพีเอส แบตเตอรี่และชิ้นส่วนยานยนต์น้ำหนักเบา ซึ่งแมกนีเซียมและอะลูมิเนียมที่เป็นเทคโนโลยีการผลิต นอกจากจะทำให้ชิ้นส่วนยานยนต์มีน้ำหนักเบาขึ้นแล้ว ยังช่วยดูดซับเสียงอีกด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจากมติชนรายวัน