รู้จัก “Community Health Link” นวัตกรรม “ระบบข้อมูลสุขภาพชุมชน” ต้นทางสุขภาพดีที่จะไม่มีใครตกหล่น

นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไป คือความตื่นรู้ถึงบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในระดับชุมชน ที่รับมือกับภัยสุขภาพได้เป็นอย่างดี ทั้งจากต้นทุนเดิมที่ตัวเองมี และ นวัตกรรมทางสังคม ที่คิดค้นขึ้นมาในช่วงที่กำลังเผชิญกับการระบาดของโรคร้าย

หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จและนับเป็นจุดแข็งของหลายชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองคือ การจัดการข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมรายชื่อจำนวนกลุ่มเสี่ยง/ผู้ติดเชื้อ ลิสต์รายการความต้องการของผู้ที่ต้องกักตัวอยู่ในบ้าน ผังชุมชนและครัวเรือน ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้เท่าทันกับปริมาณการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น และการเชื่อมโยงข้อมูลจากชุมชนไปสู่หน่วยงานภายนอกเพื่อรับการสนับสนุนความช่วยเหลือ

แม้ปัจจุบันโควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาคือความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตในปัจจุบันและอนาคต ดังนั้น ศักยภาพในการจัดการข้อมูลสุขภาพของชุมชน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีการถอดบทเรียน ค้นหาความต้องการ และพัฒนานวัตกรรมเชิงระบบ โดยกระบวนการวิจัยและพัฒนาด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม

นี่คือหลักการสำคัญของโครงการวิจัย ยกระดับศักยภาพการรับมือกับภาวะวิกฤตด้านสุขภาพปฐมภูมิ ด้วยนวัตกรรมการจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิโดยชุมชน กรณีศึกษาชุมชนพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัด” ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) โดย นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นหัวหน้าโครงการ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันวิจัยสาธารณสุข (สวรส.)

โครงการนี้ได้ถอดบทเรียนและปฏิบัติการพัฒนาต่อเนื่องร่วมกับชุมชนที่มีความเข้มแข็งในการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 จำนวน 17 ชุมชนในพื้นที่เขตเมืองทั้งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และจังหวัดอื่นๆ โดยมีการวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาให้เกิดเป็นนวัตกรรมสังคม ที่เป็นนวัตกรรมเชิงระบบที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของ ระบบข้อมูลสุขภาพชุมชน ที่จะช่วยสนับสนุนการยกระดับศักยภาพการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิโดยชุมชน จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของ ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการจัดการระบบสุขภาพชุมชน หรือ “Community Health Link (CHL)

สช. พัฒนาระบบ CHL ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลสุขภาพของชุมชน รวมถึง การสำรวจชุมชน จำนวนหลังคาเรือน สำรวจประชากร ข้อมูลความต้องการด้านสุขภาพ ของชุมชนและของกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในชุมชนเปราะบางต่างๆ เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชนที่ครอบคลุมทุกกลุ่มให้ได้มากที่สุด ทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต โดยมีการบูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับภาครัฐ

ระบบ CHL จะเก็บข้อมูลในพื้นที่ชุมชน โดยมีการประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย (มท.) สำหรับการขอฐานรหัสชุมชน รวมไปถึงสร้างรหัสชุมชนขึ้นในระบบ ในกรณีที่ชุมชนนั้นยังไม่มีรหัส หรือจัดตั้งขึ้นใหม่ ขณะเดียวกันในส่วนของประชาชนผู้ที่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตน ก็จะมีการประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำหรับการขอใช้ระบบกำหนดรหัสบุคคล 13 หลักชั่วคราวเพื่อการดูแลสุขภาพให้กับกลุ่มนี้

Advertisement
ภญ.เนตรนภิส สุชนวนิช

ภญ.เนตรนภิส สุชนวนิช ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูล สช. ในฐานะที่ปรึกษาการพัฒนาระบบ อธิบายว่า ที่ผ่านมาแต่ละชุมชนยังมีปัญหาเรื่องข้อมูล เช่น ขาดข้อมูลของประชากรแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ขาดข้อมูลกลุ่มคนเปราะบาง เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ เหล่านี้นำไปสู่การเข้าถึงบริการที่ไม่เท่าเทียมกัน ฉะนั้นชุมชนจึงต้องลงไปสำรวจเพิ่มเพื่อทำทะเบียนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ และนำมาบันทึกเข้าระบบที่ได้มีการพัฒนาขึ้น

ข้อมูลการสำรวจกลุ่มเปราะบางของภาครัฐยังมีจุดอ่อน เพราะเขาจะเน้นที่ผู้อยู่อาศัยจริง และมีเลข 1หลัก ซึ่งหากชุมชนสามารถเติมเต็มข้อมูลที่ตกหล่นเหล่านั้นให้กับภาครัฐได้ ก็จะยิ่งช่วยให้เกิดการจัดบริการที่ตรงตามความต้องการ ที่สำคัญก็คือ หากชุมชนได้รับทราบสถานการณ์จากข้อมูลที่มีการสำรวจ ก็จะทำให้เกิดการทำงานระหว่างชุมชน หน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ที่เข้มแข็งขึ้น และทำงานเป็นเนื้อเดียวกันได้” ภญ.เนตรนภิส ระบุ

Advertisement

นอกจากการอุดรอยรั่วข้อมูลกลุ่มคนเปราะบางตกหล่นแล้ว การเก็บข้อมูลชุมชนยังนำไปสู่การแก้ปัญหาหรือทราบความต้องการของชุมชน เช่น การกำจัดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) การแก้ปัญหาการดื่มสุรา การสูบบุหรี่ ทั้งยังสามารถนำไปสู่การทำธรรมนูญสุขภาพของชุมชนเองได้อีกด้วย

ถ้ารู้จักชุมชนดี เราจะสามารถป้องกันโรคที่สามารถป้องกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดัน แม้กระทั่งเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดเป็นการป้องกันก่อนป่วย ไม่ว่าจะเป็นป้องกันในเชิงวิถีชีวิตสิ่งแวดล้อม การศึกษา การให้องค์ความรู้ ทั้งหมดมาอยู่ที่เรื่องสุขภาพ สุขภาวะทั้งสิ้น” ภญ.เนตรนภิส ระบุ

ด้าน นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท หัวหน้ากลุ่มวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.) สำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัด กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าคณะนักวิจัยในโครงการ อธิบายเพิ่มเติมว่า ระบบ CHL นั้นออกแบบขึ้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมเชิงระบบในการยกระดับศักยภาพชุมชนในการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิเพื่อรับมือความต้องการด้านสุขภาพและวิกฤตสุขภาพได้โดยชุมชนเอง จึงเป็นระบบข้อมูลสารสนเทศ ที่ประกอบไปด้วยหลายโมดูลเชื่อมโยงกัน โดยในปัจจุบันมีสองโมดูลหลักคือ CHL Drive ซึ่งเป็น Google Drive ที่แกนนำแต่ละชุมชนใช้สำหรับการร่วมกันจัดการข้อมูลของชุมชน และ CHL Web Application ซึ่งเป็น platform ที่สร้างขึ้นบนระบบ cloud ของภาครัฐเพื่อการร่วมจัดการและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างชุมชนกับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งระบบ CHL ทั้งหมด ถูกออกแบบโครงสร้างและระบบการทำงานให้มีการดำเนินการอย่างถูกต้องทั้งตามมาตรฐานของธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (data governance) และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

ทั้งนี้ ในส่วนของ CHL Drive ของ 17 ชุมชนในโครงการ ได้เริ่มมีการใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูลจากการสำรวจชุมชนในรูปแบบต่างๆ ที่รวมถึงแผนที่ชุมชนและตารางข้อมูลคนในชุมชนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่สำหรับ CHL Web Application นั้นเนื่องจากในการพัฒนาต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนมาตรฐานตามระเบียบของภาครัฐจึงเพิ่งจะพัฒนาสำเร็จและเริ่มลงข้อมูลจริงเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จึงเริ่มมีการใช้งานเฉพาะในพื้นที่นำร่องคือ ชุมชนในเขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ดังนั้น ภาพที่ชัดเจนของการใช้งานจึงจะปรากฏออกมาในช่วงระยะถัดไป

นพ.วิรุฬ บอกด้วยว่า ขณะนี้ระบบได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับภาครัฐ โดยเบื้องต้นได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลชุมชนกับ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง (สนบท.) จึงทำให้ในระบบ CHL ตอนนี้มีข้อมูลชุมชนที่ สนบท. ปรับปรุงล่าสุด จำนวนประมาณ หมื่นชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนในพื้นที่ กทม. และเทศบาลทั่วประเทศ ที่มีรหัส “สำนักทะเบียน” หลักของตัวเอง ข้อมูลชุมชนจาก สนบท. จึงมีข้อมูลรหัสชุมชน (Community ID) ที่เป็นมาตรฐานกลางของประเทศ ที่เป็นเลข หลัก ประกอบด้วยรหัสสำนักทะเบียน หลักตามด้วยเลขเรียงตามลำดับ (running number) อีก หลัก

นพ.วิรุฬ อธิบายเพิ่มเติมว่า ด้วยระบบ CHL ออกแบบขึ้นเพื่อให้ กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อื่นๆ สามารถบริหารจัดการระบบสุขภาพในท้องถิ่นและทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่ได้ จึงได้พัฒนาฐานข้อมูลชุมชน CHL โดยใช้ระบบมาตรฐานที่สอดคล้องกับของ สนบท. คือ เป็นรหัส หลักที่ หลักแรกเป็นรหัสสำนักทะเบียนเช่นเดียวกัน แต่อีก หลักจะนำด้วยตัวอักษร และตามด้วยเลขเรียงตามลำดับ (running number) อีก หลัก โดยในเบื้องต้น ได้ออกเลขรหัสชุมชน CHL ให้กับชุมชนที่มีอยู่ในฐานข้อมูลชุมชนของ สนบท. ทั้งหมด เมื่อมีการเพิ่มชุมชนในระบบ CHL ในพื้นที่ อปท. ใด ก็จะทำให้ฐานข้อมูลชุมชนเขตของ อปท. นั้นมีความสมบูรณ์และเป็นปัจจุบัน

ระบบดังกล่าวต้องการให้ชุมชนที่ ไม่ได้รับการจัดตั้ง” ตามระเบียบของท้องถิ่น และชุมชนประเภทอื่นๆ สามารถจดจัดตั้งเป็นชุมชนในระบบ เพื่อใช้ข้อมูลสำหรับการดูแลและประสานงานการจัดการสุขภาพได้ ยกตัวอย่างชุมชนในเขตคลองเตยในสี่สิบกว่าชุมชน มีชุมชนที่ไม่ได้จดจัดตั้งอยู่ด้วย รวมถึงในตอนนี้มีชุมชนที่เพิ่งจะมีการรวมตัวกันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน เราต้องการให้ชุมชนที่เกิดขึ้นใหม่ สามารถที่จะรวมตัวกันและขึ้นทะเบียนเป็นชุมชนในระบบได้ เพื่อให้การจัดระบบการดูแลสุขภาพให้กับคนในพื้นที่เปราะบางต่างๆ เกิดขึ้นได้อย่างทั่วถึง” นพ.วิรุฬ ระบุ

นอกจากนี้ ระบบ CHL ได้มีการเริ่มเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลกับฐานข้อมูลกลางของภาครัฐ โดยผ่านแพลตฟอร์ม CHL Web Application ที่ทำให้ผู้ใช้งานระบบที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและลงทะเบียนเข้าใช้งานอย่างถูกต้องผ่านระบบ ThaiID สามารถตรวจสอบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันของบุคคลในชุมชนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องขอบคุณ สช. ที่ทำหน้าที่เป็นพื้นที่กลางที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงด้านข้อมูลกันได้ระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน

ท้ายที่สุด นพ.วิรุฬ เสริมว่า การพัฒนาระบบ CHL นี้ เป็นการทำงานด้วยกระบวนทัศน์ที่ต่างไปของระบบข้อมูลสุขภาพ จากแบบรวมที่ศูนย์กลาง ไปเป็นแบบการกระจาย (de-centralized) ไปยังต้นทางคือที่ชุมชน ซึ่งมีข้อมูลที่ครอบคลุมและเป็นปัจจุบัน เป็นข้อมูลที่มีชีวิตชีวา อันนำมาสู่การจัดการด้านระบบสุขภาพ หรือการจัดการสวัสดิภาพของประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในความเป็นจริง หน่วยงานในระดับพื้นที่และประเทศอยากจะสนับสนุนชุมชนอยู่แล้ว แต่เรายังไม่เคยมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันจริงๆ จากชุมชน เพราะเข้าไม่ถึง เมื่อมีระบบการทำงานนี้ขึ้นมา ทำให้เรารู้ความต้องการของชุมชนได้ดีขึ้น และสิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเรามีข้อมูลจากพื้นที่ เราก็จะสามารถจัดสรรทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะข้อมูลนี้จะเป็นตัวช่วยบอกเราได้ว่าควรจัดสรรอะไร ไปช่วยที่ไหน” นพ.วิรุฬ สรุป