เผยแพร่ |
---|
จากปัญหาที่เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ สินค้ามีปริมาณมากเกินความต้องการของตลาด และได้ผลตอบแทนต่ำ สาเหตุหนึ่งเกิดจากเกษตรกรปลูกพืชในพื้นที่เหมาะสมน้อยหรือไม่เหมาะสม จึงต้องใช้ปัจจัยการผลิตในปริมาณมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แถมส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและทางสังคม กรมส่งเสริมการเกษตรจึงดำเนินโครงการบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตรตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri – Map) ให้เกษตรกรมีองค์ความรู้ด้านการเกษตร เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ รู้จักวางแผนการผลิตสินค้าเกษตรได้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ และปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ
นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า หลังจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มมากขึ้น มีรายได้เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ตัวอย่างเช่น นางสาวสมเกียรติ์ ลานอก เกษตรกรผู้ปลูกข้าว บ้านหัวสะพาน หมู่ที่ 6 ตำบลวังตะเฆ่ อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ แต่พื้นที่ดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับการปลูกข้าว มีความเสี่ยงด้านรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หลังเข้าร่วมโครงการฯ เปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าว 37 ไร่ มาทดลองปลูกผักชี 2 ไร่ สามารถสร้างรายได้ต่อไร่สูงกว่าการปลูกข้าวหลายเท่า ทั้งนี้ เกษตรกรปลูกข้าวได้ปีละ 1 ครั้ง มีต้นทุนรวมต่อไร่ 3,700 บาท ผลผลิตต่อไร่ 400 กิโลกรัม ราคา 10 บาทต่อกิโลกรัม รายได้รวมสุทธิต่อไร่ต่อปี 300 บาท ในขณะที่ปลูกผักชี ได้ปีละ 3 ครั้ง มีต้นทุนรวมต่อไร่ 4,710 บาท ผลผลิตต่อไร่ 1,000 กิโลกรัม ราคา 80 บาทต่อกิโลกรัม รายได้รวมสุทธิต่อไร่ต่อปีมากถึง 225,870 บาท
ส่วนนางไพรวัน กลางโชคชัย เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง 7 ไร่ในพื้นที่หมู่ 10 ตำบลหนองหัวช้าง อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ ประสบปัญหาพื้นที่ไม่เหมาะสมปลูกมันสำปะหลัง ใช้แรงงานมากแต่ขายผลผลิตได้ราคาต่ำ หลังเข้าร่วมโครงการฯ หันมาทดลองปลูกกล้วยหอมทอง 3 ไร่ สามารถสร้างรายได้ต่อไร่สูงกว่าการปลูกมันสำปะหลังถึง 20 เท่า โดยปลูกมันสำปะหลังปีละ 1 ครั้งมีต้นทุนรวมต่อไร่ 5,350 บาท ผลผลิตต่อไร่ 3,500 กิโลกรัม ราคา 2.5 บาทต่อกิโลกรัม รายได้รวมสุทธิต่อไร่ต่อปี 3,300 บาท ในขณะที่ปลูกกล้วยหอมทอง ปีละ 2 ครั้ง มีต้นทุนรวมต่อไร่ 26,700บาท ผลผลิตต่อไร่ 4,000 กิโลกรัม ราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม รายได้รวมสุทธิต่อไร่ต่อปี 66,600 บาท นับว่าเป็นรายได้ที่น่าพอใจมากกว่าการปลูกมันสำปะหลัง
“ จากตัวอย่างเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้วปรับเปลี่ยนการปลูกพืชตาม Agri – Map ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว กรมส่งเสริมการเกษตรจึงวางแผนขยายผลโครงการนี้ไปสู่พื้นที่อื่น เพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นจากการลดการใช้ปัจจัยการผลิตอีกด้วย ” รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าว
ในปี 2567 กรมส่งเสริมการเกษตร โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานเกษตรอำเภอได้คัดเลือกพื้นที่เป้าหมายเข้าร่วมโครงการฯ โดยใช้ข้อมูลจากระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ (Agri – Map online) แผนการจัดการพื้นที่การผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญที่จังหวัด/ อำเภอจัดทำไว้ ฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) และแนวทางการบริหารจัดการเขตเกษตรเศรษฐกิจระดับภาค รวมถึงใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในการพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น สภาพแวดล้อม ดิน น้ำ อากาศ การเพาะปลูก การตลาด ความรู้/ทักษะทางการเงินของเกษตรกร สภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่ ฯลฯ แล้วนำมาเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์หาความเหมาะสมของพื้นที่ในการปลูกพืชแต่ละชนิดและรับสมัครเกษตรกรที่สนใจ ปรับเปลี่ยนชนิดพืชทางเลือกใหม่ทดแทนพืชเดิมที่ไม่เหมาะสม เข้าร่วมโครงการฯ เมื่อเข้าร่วมโครงการแล้วเกษตรกรจะเข้ารับการอบรมให้ความรู้ และจัดการศึกษาดูงานการปลูกพืชทางเลือกใหม่ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความรู้ทางวิชาการเกษตรแก่เกษตรกร จัดกระบวนการเรียนรู้การผลิตพืชเศรษฐกิจระดับอำเภอตามเขตความเหมาะสมสำหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่น ดูงานที่แปลงของเกษตรกรต้นแบบ ดูงานการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต และการจัดทำไร่นาสวนผสม มาตรฐานสินค้าเกษตร การบริหารจัดการและการวางแผนการผลิต การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว เป็นต้น หลังจากนั้นกรมส่งเสริมการเกษตรกรจะสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จำเป็นในเบื้องต้นสำหรับการปรับเปลี่ยนการผลิตพืชชนิดใหม่ให้กับเกษตรกรในเขตพื้นที่ไม่เหมาะสมตามแผนที่ Agri – Map