เผยแพร่ |
---|
ปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรมเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะในระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ต้องการทั้งคุณภาพและปริมาณผลผลิตที่แน่นอน ซึ่งการปลูกพืชในโรงเรือนถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ช่วยให้สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการปลูกพืช โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันมากๆ สภาพอากาศแปรปรวน ทั้งอุณหภูมิ ลม และปริมาณฝนที่ไม่สม่ำเสมอ รวมไปถึงการปลูกพืชนอกฤดู พืชที่มีราคาสูงหรือปลูกพืชเมืองหนาว โดยที่ไม่มีแมลงมารบกวน จะต้องมีสถานที่พร้อม เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชที่จะเข้ามาทำลายพืชที่ปลูก โรงเรือนคืออีกตัวช่วยสำหรับเกษตรกร สามารถปลูกพืชได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย ไม่ส่งผลกับผลผลิต
โรงเรือนยุคนี้มีระบบควบคุม ทั้งอุณหภูมิ น้ำ แสง การใส่ปุ๋ย ช่วยป้องกันโรคและแมลงในโรงเรือนได้ ทำให้เกษตรกรพร้อมที่จะก้าวสู่สมาร์ทฟาร์มเมอร์ได้ สามารถควบคุมปัจจัยทุกตัวที่มีผลต่อพืชได้ทั้งหมด ช่วยลดต้นทุนสารเคมี ยากำจัดแมลง
และแน่นอนว่าปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตของพืช คือแสง ปัจจุบันจึงเริ่มมีการนำแสงไฟจากหลอด LED ที่ให้แสงในทุกช่วงคลื่นแสงที่ตาสามารถมองเห็นได้ (full spectrum) หรือแสงสีขาว มีข้อดีกว่าหลอดไฟแบบอื่นคือ ไม่ปล่อยความร้อน ทำให้อุณหภูมิต่ำไม่ทำลายพืช และช่วยประหยัดไฟ เมื่อต้องการปลูกพืชในที่ร่ม ในระบบปิดหรือในพื้นที่ที่มีแสงน้อย เพื่อให้ได้พืชที่เจริญเติบโตสมบูรณ์ ให้ผลผลิตสูง และสามารถผลิตสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (bioactive compounds) ตามที่ต้องการ โดยให้แสงสีในสัดส่วนที่เหมาะสมกับพืชในแต่ละระยะ
การเลือกไฟ LED ที่เหมาะสมกับพืชควรพิจารณาถึง
- ความต้องการของพืชแต่ละชนิด
- กำลังวัตต์ของไฟ LED และพื้นที่ในการปลูก
- ระยะห่างระหว่างไฟ LED กับพืช เพื่อให้แสงเข้าถึงทุกส่วนของพืชอย่างสม่ำเสมอ
แสงสีแต่ละสีที่พืชดูดซับมีผลต่อการเจริญเติบโตต่างกัน โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่า
แสงสีน้ำเงิน (400-520 นาโนเมตร) มีผลต่อปริมาณของคลอโรฟิลล์และการเจริญเติบโตของใบพืช รวมทั้งการสร้างรากในระยะแรกของพืช (veg stage/ growth) แต่ไม่ควรให้แสงสีฟ้ามากเกินไปในพืชบางชนิด เพราะอาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชได้
แสงสีแดง (630-660 นาโนเมตร) จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลำต้นและการขยายตัวของใบ รวมทั้งมีผลกับพืชเมื่ออยู่ในช่วงที่เริ่มออกดอก (flowering) จึงเหมาะกับพืชที่เราต้องการผลมากกว่าพืชใบ
แสงสีเขียว (500-600 นาโนเมตร) ถึงแม้พืชจะนำมาใช้น้อยที่สุด แต่ก็มีผลกับใบพืชที่อยู่ด้านล่าง เนื่องจากแสงสีเขียวทะลุผ่านได้ดีกว่า ทำให้พืชได้รับแสงอย่างทั่วถึง
จะเห็นได้ว่าพืชยังคงต้องการแสงในทุกช่วงคลื่นแสงสำหรับการสังเคราะห์แสง (photosynthetically active radiation,PAR) เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของพืช เราจึงควรให้พืชได้รับแสงสีทุกสีในสัดส่วนที่เหมาะสมดีกว่าการให้แสงสีเดียว เพราะพืชแต่ละชนิดต้องการแสงในแต่ละระยะไม่เหมือนกัน
อ้างอิง : ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา https://sciplanet.org/content/12621