เผยแพร่ |
---|
เกษตรกรนักประดิษฐ์จังหวัดลำปาง ที่มีทักษะช่างหลากหลายด้านนำความรู้มาแก้ไขปัญหาทางการเกษตรจนสร้างนวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุนและแรงงานจากพลังงานสะอาด
คุณกฤษณะ สิทธิหาญ หรือ ช่างเอก เจ้าของไร่ช่างเอก วิถีอินทรีย์ จังหวัดลำปาง เป็นเกษตรกรนักประดิษฐ์ที่มากความสามารถ ด้วยทักษะสารพัดช่าง ไม่ว่าจะเป็นช่างไฟฟ้า ประปา ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ที่เริ่มต้นจากความชอบส่วนตัว นำความรู้มาต่อยอดแก้ไขปัญหาทางการเกษตร จนกลายเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งาน ที่ช่วยลดต้นทุน ลดแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันช่างเอกเน้นการทำเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง โดยใช้พลังงานสะอาดเป็นหลัก
จุดเริ่มต้นของการทำเกษตรอินทรีย์
คุณกฤษณะเคยทำงานเป็นช่างที่กรุงเทพฯ มาก่อน ตั้งแต่อายุ 14 ปี มองว่าทักษะด้านช่างจะช่วยให้เอาตัวรอดได้ในอนาคต ด้วยความชอบส่วนตัว จึงไปอบรมและเรียนรู้ตามคอร์สต่างๆ พร้อมกับเป็นลูกมือ เรียนรู้จากประสบการณ์และครูพักลักจำ ทำให้เขามีความรู้เรื่องช่างติดตัวมาตั้งแต่เด็ก จนในปี 2553 เขาตัดสินใจลาออกจากงาน กลับมาดูแลพ่อแม่ที่อายุมากขึ้น รวมถึงที่บ้านทำสวนสับปะรดอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นที่บ้านเปิดร้านขายปุ๋ยและยา ทำให้คิดว่าการลงทุนทำเกษตรควบคู่กับร้านจะมีกำไร แต่พอลงมือทำจริงๆ กลับพบว่า ยิ่งทำมากยิ่งวนเวียน และหนี้สินยิ่งเพิ่ม ทั้งที่เชื่อว่าทำเยอะจะได้เยอะ จึงทำให้เริ่มคิดใหม่ว่า จะทำเกษตรอย่างไรให้ยั่งยืนได้
การทำเกษตรเป็นอาชีพที่คล้ายกับวิทยาศาสตร์ มีความท้าทาย เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เช่น สภาพอากาศ ราคาตลาด โรคและแมลง จนทำให้เขาเริ่มมองหาวิธีทำเกษตรที่ยั่งยืน ขายเองได้ มีตลาดรองรับ และสามารถส่งต่ออาชีพนี้ให้กับลูกหลานได้ สุดท้ายจึงเลือกทำ “เกษตรอินทรีย์” เพราะเห็นว่านี่คือคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ไอเดียในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ประหยัดพลังงาน ตอบโจทย์การใช้งาน
พอหันมาทำเกษตรอินทรีย์ ทำให้เราเลิกใช้ยา ก็เริ่มจากตัวเราก่อนด้วยความที่มีความรู้เรื่องช่าง เริ่มดัดแปลงเครื่องมือเกษตรให้ทุกคนทำงานได้ ด้วยความที่ไม่หยุดนิ่ง บวกกับมีคำถามอยู่ในใจที่ว่า “ทำไมไม่มีนวัตกรรมของคนไทย” เมื่อไหร่จะเป็นของเรา ทำไมต้องไปซื้อจากที่อื่นเข้ามา ด้วยความที่อยากลอง จึงนำความรู้ที่ติดตัวมาลองผิดลองถูก จนได้เป็นนวัตกรรมแต่ละชิ้นขึ้นมา
เริ่มจากการพัฒนา “เครื่องตัดหญ้าโซลาร์เซลล์” ที่ใช้พลังงานสะอาด 100% และใช้งานได้จริง ปัญหาหลักที่พบเมื่อหันมาทำเกษตรอินทรีย์คือ การจัดการวัชพืชและหญ้า โดยเครื่องตัดหญ้าแบบเครื่องยนต์เดิมนั้นสร้างปัญหาหลายอย่าง ทั้งมลพิษ เครื่องยนต์ร้อน เสียงดัง และสตาร์ตยาก ไอเสียจากเครื่องยังตกลงบนพืชผัก ซึ่งขัดกับเป้าหมายการทำเกษตรปลอดภัยของเรา แถมยังใช้งานยาก จากปัญหานี้จึงเกิดไอเดียที่จะพัฒนา “เครื่องตัดหญ้า” ที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย เหมาะสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้สูงอายุ โดยเปลี่ยนจากเครื่องยนต์มาใช้แบบไฟฟ้า จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่คว้ารางวัล “สุดยอดนักประดิษฐ์นวัตกรรมช่างชุมชน” ซึ่งเป็นทั้งความสำเร็จและต้นแบบที่ดี
ช่างเอก เล่าว่า “ไอเดียในการสร้างนวัตกรรมแต่ละชิ้นเกิดจากปัญหาที่ผมพบเจอในการทำเกษตรเอง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การสร้างเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ทุกคนสามารถใช้ได้ และต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระหว่างทางที่ไปสู่เป้าหมายนั้น ก็เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ระหว่างทางขึ้นมา ทำให้เราได้นวัตกรรมชิ้นอื่นมาด้วย”
หลังจากกลับมาใช้ชีวิตที่สวน ผมเลือกอยู่โดยไม่ใช้ไฟฟ้าเลย เพราะอยากเรียนรู้เรื่องของ “โซลาร์เซลล์” พลังงานจากแหล่งนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง จึงได้เรียนรู้อยู่คู่ไปด้วยกัน ในช่วงแรกอาจประสบปัญหาพลังงานไม่เพียงพอ แต่ปัจจุบันกลายเป็นโรงงานผลิตเครื่องมือที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเราอีกด้วย
วางแผนการบริหารจัดการที่ดี
ก่อนที่จะเริ่มทำสวน ช่างเอกได้วางเลย์เอาต์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้รู้ชัดเจนว่าพื้นที่แต่ละส่วนจะใช้ทำอะไร เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา จากเดิมที่ปลูกแต่สับปะรด ก็เริ่มหันมาปลูกต้นไม้ใหญ่ เปลี่ยนจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวสู่การทำเกษตรแบบผสมผสาน ที่สำคัญต้นทุนการผลิตในสวนของผมแทบเป็นศูนย์ เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ปุ๋ยก็ทำเองจากสิ่งที่มีอยู่ในสวน ไม่มีการทิ้งขยะออกไปภายนอก ผมจัดการทุกอย่างเอง เพราะเราต้องไม่สร้างขยะให้คนอื่น
ปัจจุบัน นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้แรงงาน และราคาก็ถูกลงมาก ทำให้เข้าถึงได้ง่าย สำหรับคนที่อยากเริ่มนำนวัตกรรมมาใช้ในสวนของตัวเอง ช่างเอกแนะนำว่า เริ่มต้นจากการเขียนเลย์เอาต์ลงในกระดาษ ทะเลาะกับตัวเองในกระดาษก่อน โดยช่างเอกมีคติว่า “เราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่จะทำนั้นทำเพื่อกิน หรือเพื่อจำหน่าย” จะมี 2 คีย์เวิร์ดที่ผมใช้อยู่ และอย่าใช้นวัตกรรมที่เกินความจำเป็น ควรเลือกให้เหมาะกับตัวเอง
1. ทำเพื่อขาย เราต้องกลับมามองว่าจะขายใคร? กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร อย่างเช่น ผมทำเกษตรอินทรีย์ กลุ่มเป้าหมายของผมคือผู้สูงวัย และคนรักสุขภาพ ต้องตอบคำถามตรงนี้ให้ได้ก่อน
2. ทำไมลูกค้าต้องซื้อของเรา สินค้าของเรามีจุดเด่นกว่าของคนอื่นยังไง คุณภาพได้ไหม
ถ้าสามารถตอบโจทย์สองข้อนี้ได้ ก็ลงมือทำได้เลย ถ้าของดีจริง ไม่ต้องกังวล ขายได้แน่นอน สำคัญคือทำของดี มีคุณภาพ แล้วไม่ต้องกลัว และที่สำคัญที่สุดคืออย่าโลภ หากคิดว่าออร์เดอร์เยอะแล้วของไม่พอ แล้วไปเอาของคนอื่นมาขาย แบบนี้จะพังทันที หมดก็คือหมด อย่าทำให้คุณภาพลดลง
การเกษตรบ้านเรายังไม่ค่อยคิดต่าง มักติดอยู่กับวิธีการทำเกษตรแบบเดิมๆ ตามฤดูกาล จึงควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการทำเกษตรของตนเองก่อน บ้านเรามักนำเอานวัตกรรมที่เลียนแบบมาใช้ พอเห็นอะไรแพงก็มักจะปลูกตามกัน ลองหันกลับมามองสิ่งที่เรามีอยู่ในมือ เรามีผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่ไม่ควรตัดทิ้งไปเพียงเพื่อปลูกตามกระแส ถ้าผลผลิตของเรามีคุณภาพดี ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้
อย่างช่างเอก ถือว่าเป็นต้นแบบเกษตรกรยอดนักประดิษฐ์ที่คิดค้นและตอบโจทย์การใช้งานได้จริง ช่างเอก เล่าว่า “ผมทำไปขายไป ทำให้ได้นวัตกรรมระหว่างทาง พอทำเครื่องตัดหญ้า เราไม่มีเวลาไปรดน้ำที่สวน ก็ได้ระบบน้ำอัตโนมัติ ก็ทำไป ขายไป จนมีกำไร”
นวัตกรรมหลักๆ ที่ไร่ช่างเอก วิถีอินทรีย์
• เครื่องตัดหญ้าโซลาร์เซลล์ มีอยู่ 2 แบบ
แบบที่ 1 แบบรถเข็น ราคา 15,000 บาท เหมาะสำหรับบ้านเรือน สวนขนาดไม่ใหญ่มาก ตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัย ผู้หญิง และเด็กๆ สามารถเป็นเครื่องออกกำลังกายแบบปลอดภัย ใช้งานง่าย เพียงเปิดสวิตช์และกดคันเร่ง ทำงานทันที ใต้ใบมีด มีจานหมุน ไม่ต้องยก วางติดพื้น เข็นตัดหญ้าได้ทันที เสียงไม่ดัง ไม่มีควันที่เป็นมลพิษต่อโลก
แบบที่ 2 แบบสะพาย ราคา 13,500 บาท เหมาะกับทุกพื้นที่และทุกวัย ตัวเครื่องตัดหญ้าโซลาร์เซลล์ มีประมาณ 5 กิโลกรัม ใช้งานแบบหนักได้ ใช้ง่าย เปิดสวิตช์เพียงกดคันเร่ง ใช้งานได้ทันที เป็นแบบก้านสั้น แยกส่วนแบตเตอรี่ สะพายด้านหลังแบบเป้ ชุดก้านตัดมีที่เกี่ยวด้านหน้า เวลาตัด ยืนตัวตรง เหวี่ยง ซ้าย ขวา โดยไม่ต้องเอี้ยวตัว จึงลดอาการเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
เครื่องเป่าใบไม้ ราคา 13,500 บาท สามารถทำแนวกันไฟป่าได้มาพร้อมกับชุดสะพายกับกระเป๋าแบตเตอรี่ กำลังไฟ 36V/12A
เปรียบเทียบเครื่องตัดหญ้าทั่วไปกับเครื่องตัดหญ้าไฟฟ้าของช่างเอก
แบบทั่วไป
• ต้องเติมน้ำมัน หากตัดหญ้าประมาณ 2 ชั่วโมง จะเสียค่าน้ำมันประมาณ 1.5 ลิตร ราว 80 บาท
• เสียงดัง (4 จังหวะ) มีระดับเสียงอยู่ที่ประมาณ 95-110 เดซิเบล
แบบไฟฟ้า
• ไม่ต้องเติมน้ำมัน ใช้ระบบชาร์จประมาณครึ่งหน่วย ค่าใช้จ่ายในการชาร์จอยู่ที่ประมาณ 2 บาทต่อครั้ง สามารถใช้งานได้ถึง 2 ชั่วโมง และหากชาร์จด้วยพลังงานจากโซลาร์เซลล์ จะไม่มีค่าใช้จ่ายเลย
• เสียงเงียบกว่า อยู่ที่ประมาณ 40 เดซิเบล
หากสนใจนวัตกรรมการเกษตรจากพลังงานโซลาร์เซลล์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ 084-042-9847 หรือเพจเฟซบุ๊ก : ไร่ช่างเอก วิถีอินทรีย