เผยแพร่ |
---|
นางกุลธิดา ศรีวิพัฒน์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 เชียงใหม่ (สศท.1) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio Circular Green Economy: BCG) พ.ศ. 2564-2570 โดยสนับสนุนการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า นำไปสู่การลดปริมาณของเสียและฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
สำหรับฟางข้าว นับเป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเกิดจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวหลังจากที่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวของเกษตรกร ซึ่งมีปริมาณค่อนข้างมากสามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือเพิ่มมูลค่าได้ ดังนั้น สศท.1 จึงได้ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร กรณีศึกษาฟางข้าว ปี 2566 ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย และพะเยา พบว่า ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคเหนือ มีปริมาณฟางข้าวรวม 1.31 ล้านตันซึ่งจากการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 188 ราย ประกอบด้วย เกษตรกรที่มีการบริหารจัดการฟางข้าวจำนวน 148 ราย ผู้ประกอบการแปรรูป/ผู้รวบรวมฟางข้าว จำนวน 20 ราย และผู้ใช้ประโยชน์จากฟางข้าว จำนวน 20 ราย ได้มีการบริหารจัดการใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่าจากฟางข้าวของพื้นที่ 4 จังหวัด ดังนี้ เกษตรกรที่มีการบริหารจัดการฟางข้าว ส่วนใหญ่ขายแบบเหมาไร่ มีปริมาณฟางก้อนที่ผลิตได้เฉลี่ย 20 ก้อนต่อไร่ มีต้นทุนค่าใช้บริการเครื่องอัดฟางข้าวเฉลี่ย 12.99 บาทต่อก้อน จำหน่ายได้ราคาเฉลี่ย 29.95 บาทต่อก้อน ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 16.96 บาทต่อก้อน หรือ 339.20 บาทต่อไร่ กลุ่มผู้ประกอบการแปรรูป/ผู้รวบรวมฟางข้าว ผลิตฟางอัดก้อนได้เฉลี่ย 20 ก้อนต่อไร่ มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการฟางข้าวอัดก้อนเฉลี่ย 11.90 บาทต่อก้อน จำหน่ายฟางข้าวอัดก้อนได้ราคาเฉลี่ย 34.18 บาทต่อก้อน ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 22.28 บาทต่อก้อน หรือ 445.60 บาทต่อไร่ และ ผู้ใช้ประโยชน์จากฟางข้าว ได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ มีค่าใช้จ่ายค่าอาหารลดลง 10 บาทต่อตัวต่อวัน เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม มีค่าใช้จ่ายค่าอาหารลดลง 63.87 บาทต่อตัวต่อวัน เกษตรกรผู้ปลูกผัก นำไปใช้เป็นปุ๋ยหมักแทนการใช้ปุ๋ยเคมีในแปลงพืชผัก มีค่าใช้จ่ายค่าปุ๋ยลดลง 1,200 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต เกษตรกรผู้ปลูกผัก นำไปใช้เป็นวัสดุคลุมแปลงพืชผักทดแทนพลาสติก มีค่าใช้จ่ายค่าวัสดุคลุมดินลดลง 320 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต เกษตรกรผู้เพาะเห็ด นำไปใช้เป็นวัสดุในการเพาะเห็ดทดแทนขี้เลื่อย มีค่าใช้จ่ายวัตถุดิบลดลงก้อนละ 10.67 บาทต่อก้อน และ เกษตรกรผู้เลี้ยงปลา นำไปใช้เป็นอาหารในการเลี้ยงปลาแทนการให้อาหารสำเร็จรูป มีค่าใช้จ่ายอาหารปลาลดลง 3,880 บาทต่อรุ่น
ด้านแนวทางการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้จากฟางข้าว ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้กำหนด 9 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1) ส่งเสริมการสร้างความตระหนักจากการไม่ใช้ประโยชน์จากฟางข้าว 2) สร้างการเชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้ใช้ประโยชน์จากฟางข้าว 3) จัดการวัสดุเหลือใช้ในนาข้าวอย่างเป็นระบบ/ครบวงจร 4) ส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกมิติ 5) สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อการพัฒนากระบวนการจัดการฟางข้าว 6) พัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ 7) เสริมสร้างความรู้ให้เกษตรกรในทุกมิติ 8) พัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้าฟางข้าวสำหรับตลาดอาหารสัตว์ และ 9) สนับสนุนเครื่องจักร เทคโนโลยี/นวัตกรรมใหม่ๆ ในการบริหารจัดการฟางข้าว
อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้จากฟางข้าวให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ควรสร้างและพัฒนา ช่องทางการเชื่อมโยงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารความต้องการของตลาดระหว่างเกษตรกร ผู้รวบรวม และผู้ใช้ประโยชน์ การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์แปรรูปให้มีความหลากหลายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ควรผลักดันการจัดทำฐานข้อมูลของผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย ผู้ใช้ประโยชน์จากฟางข้าว เพื่อให้เกิดเครือข่ายทางการค้าที่เข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการฟางข้าวให้เหมาะสมกับความต้องใช้ของผู้ใช้ประโยชน์ ในส่วนของภาครัฐควรสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเผาฟางข้าวและส่งเสริมการนำฟางข้าวมาใช้ประโยชน์ให้แก่เกษตรกร โดยใช้เครื่องจักร เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมทดแทนแรงงานคน รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อลงทุนการพัฒนากระบวนการจัดการฟางข้าวเพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม หากท่านใดสนใจข้อมูลงานวิจัยการจัดการโซ่อุปทาน และแนวทางการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร กรณีศึกษาฟางข้าว ปี 2566 สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สศท.1 โทร. 053-121-318 หรืออีเมล zone1@oae.go.th