อัครา รมช.เกษตรฯ ขับเคลื่อนนโยบายความมั่นคงทางอาหาร เปิดจับปลาบึกเขื่อนแก่งกระจาน ตามแนวคิด จับ 1 ปล่อย 100

อัครา รมช.เกษตรฯ ขับเคลื่อนนโยบายความมั่นคงทางอาหาร
เปิดจับปลาบึกเขื่อนแก่งกระจาน ตามแนวคิด จับ 1 ปล่อย 100
พร้อมยกระดับชุมชนประมงเป็นต้นแบบการบริหารจัดการทรัพยากรประมง

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ณ หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงน้ำจืดเขื่อนแก่งกระจาน (เพชรบุรี) ตำบลแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี กรมประมงจัดพิธีเปิดงานบริหารจัดการการทำประมงปลาบึกเขื่อนแก่งกระจาน ประจำปี พ.ศ. 2567 เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ทำประมงปลาบึก จับปลาบึกได้อย่างถูกกฎหมายตามห้วงเวลาที่กำหนด ภายใต้กฎและกติกาประจำปี ตามแนวคิดของชุมชน จับ 1 ตัว ปล่อย 100 ตัว ประกอบอาชีพประมงควบคู่ไปกับการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดความยั่งยืน ตอบโจทย์ตามนโยบายความมั่นคงทางอาหารของทางรัฐบาล โดยมีนายอัครา  พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี มีชาวประมง ผู้นำชุมชน นักเรียน เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 500 คน

นายอัครา  พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายอัครา  พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายบัญชา  สุขแก้ว  อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า “ปลาบึก” เป็นปลาหนังน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแม่น้ำโขง ตั้งแต่ประเทศจีน ลาว เมียนมา ไทย แต่ในอดีตมีการจับปลาบึกมากเกินไป ประกอบกับคุณภาพสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำเสื่อมโทรมลง จึงส่งผลให้ประชากรปลาบึกลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธ์ และติดอยู่ในบัญชี CITES กลุ่ม 1 ชนิดสัตว์น้ำที่ใกล้สูญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อปี พ.ศ. 2526 กรมประมงประสบความสำเร็จสามารถเพาะขยายพันธุ์ปลาบึกด้วยวิธีการฉีดฮอร์โมนผสมเทียมครั้งแรก กระทั่งปัจจุบันนี้กรมประมงสามารถเพาะปลาบึกได้ทั้งในบ่อดินและบ่อปูนซีเมนต์ โดยปลาบึกที่มีขายอยู่ส่วนใหญ่ตามท้องตลาดเป็นผลพวงจากการปล่อยลูกพันธุ์จากการผสมเทียมของกรมประมง

สำหรับอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นแหล่งน้ำปิดที่กรมประมงได้นำลูกพันธุ์ปลาบึกมาปล่อยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 และปล่อยต่อเนื่องกันมาทุกปี โดยการทำประมงในแหล่งน้ำนี้ ชาวประมงในพื้นที่จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ในการทำประมงเพื่อการอนุรักษ์ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2550 กรมประมงได้ดำเนินโครงการเสริมสร้างการจัดการชุมชนประมงต้นแบบ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและชุมชนประมงรอบ ๆ เขื่อน มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรประมงในเขื่อนแก่งกระจาน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามารถแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย

ปัญหาการลดลงของประชากรสัตว์น้ำ ความขัดแย้งจากการบังคับใช้กฎหมาย และการขาดการมีส่วนร่วม ฯลฯ ด้วยการจัดตั้งกลไกความร่วมมือจากภาคประชาชน ผู้แทนของแต่ละชุมชนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารจัดการ จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2558 ได้จดทะเบียนเป็นองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ในชื่อ “กลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงเพื่อการอนุรักษ์ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียงเขื่อนแก่งกระจาน” มีสมาชิก จำนวน 6 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนประมงบ้านท่าเรือ   ชุมชนประมงบ้านวังวน  ชุมชนประมงบ้านท่าลิงลม  ชุมชนประมงบ้านพุเข็ม  ชุมชนประมงบ้านพุบอน และชุมชนประมงบ้านน้ำทรัพย์ มีการดำเนินกิจกรรมการบริหารจัดการการทำปลาบึกมาจนถึงปัจจุบัน

Advertisement

ทั้งนี้ กิจกรรมการปล่อยพันธุ์ปลาบึกเพื่อเพิ่มผลผลิตในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยกำหนดให้จับปลาบึกได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เดือนมกราคมของทุกปี รวมระยะเวลา 60 วัน หรือ ได้จำนวนปลาบึกที่กำหนด  ซึ่งที่ผ่านมาปล่อยปลาบึกไปแล้วกว่า 50,000 ตัว ภายใต้กฎกติกาประจำปีเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ปลาบึกควบคู่ไปกับการทำประมงปลาบึกของสมาชิกกลุ่มฯ และตั้งแต่ปี 2563 – ปัจจุบัน พบว่าแต่ละปีมีการทำประมงได้ปีละ 50 ตัว ยกเว้นปี พ.ศ. 2566 ที่สามารถทำประมงปลาบึกได้ 60 ตัว สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนไปแล้วมากกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจชุมชนหมุนเวียนก่อให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ที่ยั่งยืน

Advertisement

โดยกิจกรรม “การบริหารจัดการการทำการประมงปลาบึกเขื่อนแก่งกระจาน ประจำปี พ.ศ. 2567” ในวันนี้ ได้มีการเปิดให้ชาวประมงปลาบึก จำนวน 21 ราย สามารถทำการประมงได้ ภายใต้แนวคิด จับ 1 ปล่อย 100 ความหมาย คือ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการทำประมงปลาบึกแล้ว ชาวประมงทั้งหมดสามารถจับปลาบึกได้จำนวนเท่าใด ในช่วงประมาณเดือนเมษายน 2568 จะมีการจัดกิจกรรมปล่อยพันธ์ปลาบึกลงสู่เขื่อนแก่งกระจาน โดยจะปล่อยจำนวน 100 เท่าของจำนวนปลาบึกที่จับได้ เพื่อเป็นการฟื้นฟูและอนุรักษ์พันธุ์ปลาบึกโดยชุมชน  นอกจากนี้ ภายในงานมีการมอบเงินอุดหนุนแก่องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นจังหวัดเพชรบุรีที่เข้าร่วมโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตสินค้าประมง จำนวน 6 องค์กร องค์กรละ 100,000 บาท เพื่อนำไปพัฒนาและต่อยอดการประมงในพื้นที่ และมอบพันธุ์สัตว์น้ำให้แก่ผู้แทนชุมชนประมงรอบเขื่อนแก่งกระจาน 6 ชุมชน

อีกทั้ง ยังมีการมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับ “กลุ่มผู้ประกอบอาชีพทำการประมงเพื่อการอนุรักษ์ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียงเขื่อนแก่งกระจาน” ชุมชนที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ระดับดี สาขาบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม ประจำปี พ.ศ.2567 และ “นายมงคล  แพรเนียม” อาสาสมัครดีเด่นแห่งชาติด้านเครือข่ายเฝ้าระวังการทำการประมง ประจำปี พ.ศ. 2567 พร้อมปล่อยพันธุ์ปลาบึก 12,200 ตัว พันธุ์ปลาตะเพียน 100,000 ตัว ปลาตุ้ม 1,000,000 ตัว พันธุ์กุ้งก้ามกราม 1,000,000 ตัว รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,112,200  ตัว ลงสู่เขื่อนแก่งกระจาน ตลอดจนจัดแสดงนิทรรศการความรู้ทางการประมง การเพาะพันธุ์ปลาบึก / สถานภาพของทรัพยากรสัตว์น้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน ผลจับสัตว์น้ำและแผนการจัดการทรัพยากรประมงในอ่างเก็บน้ำฯ / การบริหารจัดการการทำประมงปลาบึกเขื่อนแก่งกระจาน / การบริหารจัดการพ่อแม่พันธุ์ปลาบึกของกรมประมงเพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ / จัดแสดงเครื่องมือทำการประมงปลาบึก เงื่อนไขและวิธีการทำการประมง / จัดแสดงชุดเพาะฟักเคลื่อนที่ (Mobile hatchery) / จัดแสดงปลาเวียน ปลาประจำถิ่น และจัดแสดงผลิตภัณฑ์แปรรูปสัตว์น้ำอีกมากมาย

อธิบดีฯ กล่าวในตอนท้ายว่า การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรชุมชนและสถาบันเกษตรกร เป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอัครา  พรหมเผ่า) เน้นย้ำให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ซึ่งกรมประมงได้ขานรับนโยบายมาปฏิบัติและขับเคลื่อนในรูปแบบกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ธนาคารสัตว์น้ำประจำชุมชน  ศูนย์ผลิตพันธุ์ปลาประจำชุมชน  โครงการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำชุมชน เป็นต้น

ดังนั้น การจัดงานในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมภายใต้นโยบายดังกล่าว กรมประมงมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการบริหารจัดการทรัพยากรประมงโดยชุมชนมีส่วนร่วม จะส่งผลให้ทรัพยากรสัตว์น้ำมีกินมีใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ชาวประมงมีรายได้ ชุมชนมีความเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างมวลชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมสาธารณะประโยชน์แก่ชุมชน บ้าน วัด โรงเรียน อันส่งผลให้เกิดความสามัคคีของคนในชุมชน เกิดธุรกิจต่อเนื่องจากอาชีพประมง เกิดการจัดตั้งกองทุนพัฒนาอาชีพประมง/บรรเทาความเดือดร้อนให้กับสมาชิกในชุมชน ช่วยปลูกฝัง จิตสำนึกรักษ์บ้านเกิดให้กับคนรุ่นใหม่ ได้เข้ามาพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืน จนสามารถพัฒนาสู่การเป็นชุมชนประมงต้นแบบด้านการบริหารจัดการทรัพยากรประมง เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงาน และขยายผลต่อยอดโครงการฯ เป็นโมเดลไปสู่ชุมชนอื่น ๆ