ผู้เขียน | สุรเดช สดคมขำ |
---|---|
เผยแพร่ |
ปัจจุบันมันหวานญี่ปุ่นกำลังเป็นที่นิยมมากในประเทศไทย ด้วยรสชาติหวานอร่อย เนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย จึงทำให้มีการปลูกกันมากขึ้นในหลายพื้นที่ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์มันหวานให้มีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือก โดยแต่ละพันธุ์ก็จะมีรสชาติ สีสัน และเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป
คุณจิมมี่-จีรศักดิ์ สาที เจ้าของไร่นายจิม ได้เล็งเห็นช่องทางการสร้างรายได้จากการทำไร่มันหวานญี่ปุ่น จึงได้ต่อยอดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไร่มันหวานแห่งนี้สามารถผลิตมันหวานญี่ปุ่นที่มีคุณภาพส่งจำหน่ายให้กับลูกค้า พร้อมทั้งนำสายพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาปลูก ช่วยให้ผลผลิตมีความหลากหลายมากขึ้น
จากหนุ่มออฟฟิศ
ผันชีวิตเป็นเกษตรกรไร่มัน
คุณจิมมี่ เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เด็กจนโตเห็นการทำเกษตรเป็นสิ่งที่ครอบครัวทำเป็นอาชีพทำเงินมาตลอด ต่อมาเมื่อจบการศึกษาจึงไม่ได้มองการทำเกษตรเป็นอาชีพ และได้ไปทำงานเกี่ยวกับวิศวกรรมโยธาดังที่ตั้งใจไว้ และเมื่อนานวันภายในใจเริ่มรู้สึกว่างานออฟฟิศไม่ใช่แนวทางหรือชอบมากที่สุด ทำให้ตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านและเริ่มต้นทำการเกษตรอย่างเต็มตัวในเวลาต่อมา
“เริ่มแรกผมมาทำเกษตรแบบที่ผมชอบก่อน ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ และก็เริ่มมาปลูกกะเพราส่งตลาด ผลกำไรก็ยังได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ ต่อมาได้ไปรู้จักกับฟาร์มที่ปลูกมันหวานญี่ปุ่น ซึ่งรายได้ของพี่ท่านนั้นถือว่าดีเลยทีเดียว ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นมาปลูก โดยศึกษาและเรียนรู้อย่างจริงจัง พร้อมกับพัฒนามาเรื่อยๆ จนประสบผลสำเร็จ ทำมาจนถึงทุกวันนี้ครับ”
ช่วงอากาศหนาวของปลายปี
ปลูกมันหวานญี่ปุ่นได้รสชาติดี
สำหรับการปลูกมันหวานญี่ปุ่นให้ได้คุณภาพนั้น คุณจิมมี่ บอกว่า การผลิตจะเน้นปลูกเป็นรอบๆ ให้ได้ผลผลิตส่งจำหน่ายตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่ปลูกมันหวานญี่ปุ่นแล้วได้รสชาติดีจะเป็นช่วงอากาศหนาว เพราะรสชาติหวานฉ่ำจึงทำให้วางแผนการปลูกในช่วงนี้เยอะกว่าปกติ
สายพันธุ์มันหวานญี่ปุ่นที่กินอร่อยและมีความหวานฉ่ำ คุณจิมมี่ บอกว่า แต่ละสายพันธุ์ก็จะมีความแตกต่างกับสายพันธุ์มันหวานทั่วไป ซึ่งสายพันธุ์ที่ปลูกอยู่ภายในไร่นายจิม มีตั้งแต่สายพันธุ์เบนิฮารุกะ (Beni Haruka) สายพันธุ์ซิลค์สวีท (Silk Sweet) สายพันธุ์อันโนอิโมะ (Anno Imo) สายพันธุ์อันโน่ะ โคกาเน่ะ (Anno Kogane) และยังมีสายพันธุ์อื่นๆ อีกหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็นำหัวมันที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาทดลองปลูกภายในไร่ด้วยเช่นกัน
ส่วนในเรื่องของอากาศที่เหมาะสมกับการปลูกมันหวานญี่ปุ่นยิ่งเป็นอากาศเย็น พร้อมทั้งมีแสงแดดจัดในพื้นที่โล่ง และสภาพดินร่วนปนทรายมีลักษณะร่วนซุย ทำให้หัวมันเมื่อใหญ่จะขยายหัวได้ง่ายในพื้นที่ดินประเภทนี้
มันหวานญี่ปุ่นใช้เวลา 4 เดือน
จะได้ผลผลิตเป็นหัวส่งขายได้
การเตรียมดินสำหรับปลูกมันหวานญี่ปุ่นนั้น คุณจิมมี่ บอกว่า เริ่มแรกจะทำการไถบุกเบิกเปิดหน้าดิน หลังจากนั้นตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ พร้อมกับโรยปูนขาวและปุ๋ยคอกให้ทั่วและทำการไถกลบรอบ 2 อีกครั้งหนึ่ง เพื่อฆ่าเชื้อราและหมักปุ๋ยหมักดินให้มีความพร้อมมากขึ้น
หลังจากนั้นตากดินทิ้งไว้อีก 1 สัปดาห์ พร้อมกับทำการไถดินรอบที่ 3 อีกครั้ง เพื่อให้ดินร่วนซุยพร้อมกับตากดินเช่นเคย หลังจากนั้นทำการยกร่องให้มีความกว้างอยู่ที่ 70-80 เซนติเมตร และทางเดินให้มีความกว้างอยู่ที่ 80 เซนติเมตร
“พอผมเตรียมดินเสร็จ ก็จะนำต้นพันธุ์มันหวานญี่ปุ่นที่ตัดไว้จากแปลงเพาะมาปลูก โดยตัดให้ยอดมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 20-30 เซนติเมตร สามารถปลูกลงในแปลงที่เตรียมไว้ ซึ่งมันหวานญี่ปุ่นหลังปลูกจนถึงอายุการเก็บเกี่ยว จะใช้เวลาประมาณ 120 วัน ในช่วงนี้จะทำการรดน้ำใส่ปุ๋ยแต่ละช่วงอายุ เมื่อครบกำหนดมันหวานก็จะได้หัวเก็บส่งจำหน่ายลูกค้าได้”
สำหรับการใส่ปุ๋ยช่วงที่มันหวานญี่ปุ่นกำลังเติบโตนั้น คุณจิมมี่ บอกว่า จะเน้นใส่ปุ๋ยทางใบมากกว่าใส่ทางดิน เพราะพืชจะสามารถนำธาตุอาหารไปใช้ได้ทันที อย่างเช่น ช่วงบำรุงใบจะใส่ปุ๋ยเกล็ดสูตร 30-20-10 และเมื่อมันหวานญี่ปุ่นได้อายุ 40-45 วัน จะเริ่มพ่นปุ๋ยบำรุงหัวด้วยสูตร 0-0-60 โดยอัตราการใช้ดูตามฉลากที่กำหนด
ส่วนในเรื่องของโรคและแมลงศัตรูพืชทำการป้องกันในแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกันไป การป้องกันและจัดการอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผลผลิตไม่เกิดความเสียหาย โดยเฉพาะต้นพันธุ์ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ และน้ำถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญของการเติบโตของมันหวานญี่ปุ่น การให้น้ำหลังจากปลูกผ่านไปแล้ว 7 วัน ควรให้ 2 วันครั้ง ซึ่งการให้น้ำเป็นแบบระบบน้ำหยดค่อนข้างตอบโจทย์กับการปลูกมันหวานญี่ปุ่น เพราะจะช่วยทำให้ดินไม่แน่นเมื่อเทียบกับการให้น้ำแบบอื่นๆ
เน้นทำตลาดออนไลน์
เพื่อให้การจำหน่ายไปได้ไกล
การทำตลาดเพื่อจำหน่ายมันหวานญี่ปุ่นภายในไร่นั้น คุณจิมมี่ บอกว่า ช่วงที่มีผลผลิตใหม่ๆ จะเน้นไปจำหน่ายยังตลาดนัดในหมู่บ้านและตัวอำเภอ และต่อมาได้สร้างเพจเพื่อทำตลาดทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการทำตลาดออนไลน์แทบจะเป็นตลาดหลักของไร่แห่งนี้ โดยใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลายตั้งแต่เฟซบุ๊ก ติ๊กต็อก
สำหรับราคาจำหน่ายมีตั้งแต่ราคาปลีกและราคาส่ง ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 15 บาทต่อกิโลกรัม และราคาสูงสุดอยู่ที่ 200 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาของมันหวานญี่ปุ่นที่แตกต่างกันนั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่มีความอร่อยแตกต่างกันไป
“สายพันธุ์อันโน่ะ โคกาเน่ะ และสายพันธุ์มารองโกลด์ ที่สวนของผมถือว่าจะจำหน่ายแพงหน่อย เพราะว่ายังมีคนปลูกน้อย แต่ลูกค้าต้องการเยอะจึงทำให้ราคาสูง ตกอยู่ที่ 180-300 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งผมเองก็จะมีกิ่งพันธุ์จำหน่ายด้วยนะครับ เริ่มต้นอยู่ที่กิ่งละ 1 บาท เป็นสายพันธุ์มันที่ที่มีสีม่วง ส้ม ขาวครับ และถ้าคุณภาพขึ้นมาหน่อย ก็จะเป็นราคากิ่งละ 3-10 บาทครับ ราคาแพงๆ แต่ละสายพันธุ์ก็จะแตกต่างกันครับ”
ความสำเร็จ ตัวชี้วัดในสิ่งที่เลือกเดิน
จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้มีรายได้จากการปลูกมันหวานญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้นั้น คุณจิมมี่ บอกว่า ทุกย่างก้าวที่เดินในช่วงแรกอาจต้องผ่านอุปสรรคของความไม่เข้าใจของคนรอบตัวไปให้ได้ ยิ่งสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ใหม่และหลายๆ คนในครอบครัวไม่เคยสัมผัสมาก่อน การทำให้เห็นและมีรายได้ที่มั่นคง จะช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามมาจากการตั้งใจลงมือทำในวันนั้น
“พอผมเริ่มเลี้ยงตัวเองได้จากการทำไร่มันหวานญี่ปุ่น สามารถมีเงินเลี้ยงดูครอบครัวได้ การต่อยอดก็ทำให้ผมนำนวัตกรรมเข้ามาใช้อยู่เสมอ การทำเกษตรของผมก็สบายขึ้น สามารถสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในพื้นที่ต่อไปได้ในอนาคตครับ”
หากสนใจหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คุณจิมมี่-จีรศักดิ์ สาที เจ้าของไร่นายจิม อยู่ที่ ตำบลโนนฆ้อง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น หมายเลขโทรศัพท์ 080-705-2570 หรือ เพจ ไร่นายจิมมันหวานญี่ปุ่น ขอนแก่น