ที่มา | เทคโนโลยีการเกษตร |
---|---|
ผู้เขียน | สาวบางแค 22 |
เผยแพร่ |
อาจารย์สุพิทย์ ขุนเพชร อดีตหัวหน้าสถานีวิจัยกาญจนบุรี ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ คณะเกษตร กำแพงแสน ผันตัวเองทำไร่ทำสวนหลังเกษียณด้วยความสุข ในชื่อสวน “KP FRAM” โดยปลูกฝรั่ง มะม่วง ปาล์มน้ำมันเป็นหลัก อาจารย์สุพิทย์ดูแลบริหารจัดการแปลงเกษตรเนื้อที่ 30 ไร่ด้วยตัวเอง โดยอาศัยนวัตกรรมเป็นตัวช่วย สร้างรายได้หมุนเวียนตลอดทั้งปี
ทำเกษตรหลังเกษียณ
แบบพอเพียง มีความสุข
อาจารย์สุพิทย์บอกว่า ทุกวันนี้ ผมทำเกษตร โดยใช้ชีวิตแบบพอเพียง ไม่ได้เน้นสร้างรายได้เป็นหลัก ผมเริ่มทำสวนเกษตรก่อนเกษียณประมาณ 10 ปี บนเนื้อที่ 7 ไร่ อยู่ห่างจาก ตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 4กม. ที่นี่เน้นทำเกษตรแบบผสมผสาน ปลูกพืชใช้สอยกับพืชกินได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง พอปลูกไปแล้วจริงๆ มันกลายเป็นป่าที่มีสัตว์ป่าเช่น พวกกระรอก กระแต ไก่ป่าเต็มไปหมด พืชที่ปลูกกลายเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์มากกว่าเลี้ยงคน
พืชตัวแรกที่ปลูกคือ มะขามเปรี้ยวฝักใหญ่ โดยลงทุนซื้อพันธุ์มะขามเปรี้ยวถึงต้นละ 1 พันบาท พอเริ่มมีผลผลิตออกขาย ปรากฎว่า ขายได้ราคาถูกมากๆ แถมไม่มีคนซื้ออีกต่างหาก นับเป็นความล้มเหลวบทเรียนแรกในเส้นทางการทำเกษตรของอาจารย์สุพิทย์
ปาล์มน้ำมันปลูกเล่นๆ แต่ทำเงินได้ดี
อาจารย์สุพิทย์ได้แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่ง ปลูกปาล์มน้ำมัน จำนวน 65 ต้น โดยปลูกตามธรรมชาติ ไม่ได้ใส่ใจบำรุงรักษาใด ๆ ปรากฎว่า ปาล์มน้ำมัน ที่ลองปลูกเล่น ๆ กลับสร้างรายได้ก้อนโตอย่างไม่น่าเชื่อ จึงวางแผนขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในที่ดินผืนใหม่ ควบคู่กับการปลูกมะม่วง ฝรั่งและปลูกพืชกระท่อม
โดยธรรมชาติปาล์มน้ำมัน เป็นพืชที่ต้องการน้ำเยอะ เป็นพืชที่ค่อนข้างออกดอกง่าย แต่ดอกจะเป็นตัวผู้ก็เยอะ วิธีบริหารจัดการปาล์มน้ำมันให้มีผลผลิตที่ดี ต้องเลือกสายพันธุ์ปาล์มทนแล้งที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของจังหวัดกาญจนบุรี ดังนั้นอาจารย์สุพิทย์จึงตัดสินใจปลูกปาล์มน้ำมันทนแล้งสายพันธุ์ ซีพีไอ ไฮบริด โกลด์ ที่มีจุดเด่น คือ เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เดือนละ 2 ครั้ง ๆละ 20-30 กก.
“ ผมก็ไม่รู้ว่าสวนปาล์มน้ำมันของผม จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผมอยากจะทำในสิ่งที่ผมอยากจะหาความรู้ใส่ตัว ผมอยากบอกว่า เรียนด้วยตำรา หรือฟังจากคนอื่น หรือเรียนรู้จากการดูยูทูป มันเรียนได้หมด เป้าหมายของผมคือ ทำอย่างไรให้ต้นปาล์มน้ำมันมีผลผลิต 40 กก.ต่อเดือน ผมไม่สนใจสูตรปุ๋ยที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำมา เพราะพืชแต่ละพื้นที่ แต่ละจุดที่ปลูก มันจะไม่เหมือนกัน เกษตรกรบางคนไหนถามผมว่า ควรใช้ปุ๋ยสูตรอะไร ผมให้คำตอบไม่ได้หรอก ต้องดูอาการของพืชเป็นหลักว่า มีต้องการกินอะไร จึงค่อยชงให้มันกินตามอาการ ดังนั้นหลักการดูแลสวนปาล์มน้ำมันของผม จึงเน้นเรื่องการชงอาหารให้พืชกินตามอาการของพืช และปรับค่า Ph ของดินให้เหมาะสมกับชนิดพืชเป็นหลัก ” อาจารย์สุพิทย์กล่าว
แนะทำเกษตรหลังเกษียณ
แค่ 1 ไร่ก็พอแล้ว
อาจารย์สุพิทย์ บอกว่า การทำเกษตรหลังเกษียณมีปัญหามากมาย หากคาดหวังเรื่องรายได้ ผมแนะนำให้ทำใจก่อนครับ หากตั้งใจทำเกษตรหลังเกษียณไม่ต้องใช้พื้นที่มาก แค่ลงทุนแค่ไร่เดียวก็พอแล้ว เช่น ปลูกองุ่นสัก 20 ต้น หาวิธีปลูกดูแลอย่างไรให้ต้นองุ่นมีผลผลิตสักต้นละ 50 กก. เพียงเท่าก็จะมีผลผลิตจำนวน 1 ตัน มีรายได้เข้ากระเป๋าแล้ว ลงทุนทำสวนองุ่นคนเดียวได้ไม่ยาก
เตือนอย่าใช้เงินเก็บทั้งหมด
มาลงทุนทำสวน เสี่ยงขาดทุนสูง
อาจารย์สุพิทย์ กล่าวว่า หลังปลดเกษียณแล้ว อย่านำเงินทั้งหมดที่มีอยู่มาใช้ทำสวน ควรแบ่งเงินสัก 10-20 % มาลงทุนทำสวนหรือทำอะไรที่คุณรักคุณชอบ พอให้มีรายได้กลับมาก็พอแล้ว ส่วนเงินทุนที่เหลืออีก 80% ควรเก็บไว้ดูแลสุขภาพดูแล เพราะยิ่งสูงวัยโรคภัยก็เริ่มรุมเร้า
“ ปัจจุบันผมอายุย่าง 65 ปี สุขภาพมีปัญหาทุกอย่าง แต่โชคดีที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ในสวนที่นี่ มี มีภูเขา อยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ กลางวันผมก็เดินเล่น ทำงานเล็กๆน้อยๆตามแนวความคิดและผมไม่คาดหวังเรื่องรายได้ ทำงานด้วยความสบายใจ ” อาจารย์สุพิทย์กล่าว
สำหรับผู้ที่กำลังรอวันเกษียณ อาจารย์สุพิทย์ บอกว่า หากไม่มั่นใจ อย่าไปลงทุนเยอะ ที่ดีที่สุด คือ ทดลองทำก่อน ค่อยๆเรียนรู้ว่า ทำได้จริงไหม หากทำได้จริงก็ค่อยลงมือทำ แต่อย่าเสี่ยงเอาเงินก้อนที่มีอยู่ทั้งหมดมาลงทุนทำสวน เพราะเพื่อนผมบางคนลงทุนทำสวนทุเรียน 2-3 ล้าน ปลูกทุเรียนพันต้น สุดท้าย มันไม่ได้อย่างที่คิด แต่บางคนก็ทำได้ดี แต่ควรทำในปริมาณที่น้อยนะครับ
น้ำคือ หัวใจสำคัญของการทำเกษตร
“ น้ำคือหัวใจสำคัญของการทำเกษตร หากคุณมีดินดี ปุ๋ยดี พันธุ์ดี หากน้ำไม่ดี ต้องอาศัยฝนฟ้าเทวดา ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะพืชจะโตได้ ต้องมีน้ำ เพราะในองค์ประกอบของพืชจะมีน้ำไม่ต่ำกว่า 80 90% เซลล์ต่างๆของพืชประกอบด้วยน้ำ ” อาจารย์สุพิทย์กล่าว
สวนแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองกาญจนบุรี โดยอาศัยแหล่งน้ำชลประทานที่สูบด้วยระบบไฟฟ้า ต้องจ่ายค่าน้ำชั่วโมงละ 120 บาท อาจารย์สุพิทย์บอกว่า จ่ายค่าน้ำชั่วโมงละ120บาท สูบน้ำวันละ 10 ชั่วโมง หากเราปล่อยน้ำทิ้ง ก็เสียดายน้ำ จึงวางแผนจัดการน้ำ โดยขุดบ่อพักน้ำความจุ 5 พันกว่าคิว บ่อกว้างไร่ครึ่ง ลึกประมาณหนึ่งเมตรทำคันขึ้นมาอีก 2เมตร โดยสูบน้ำเติมบ่อตลอดเวลาเพราะที่นี่ มีเนื้อที่ค่อนข้างเยอะ หากดึงน้ำไปใช้เพาะปลูกพืชซึ่งเป็นพื้นที่สูงอยู่ติดริมเขาได้ ผมต้องทำ Contour พื้นที่ เพื่อเป็นสระพักน้ำ กลางทาง จำนวน 2 จุด และสร้างบ่อที่ สามโดยใช้เครื่องสูบน้ำโซล่าเซลล์ดึงน้ำบาดาลใต้ดินขึ้นมา กระจายกลับมาบ่อลูกแรกนี้ เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งน้ำจากหน่วยงานภายนอก เพราะหากเครื่องสูบน้ำของหน่วยงานภาคนอกพัง ส่งน้ำให้เราไม่ได้ จะส่งผลกระทบต่อพืชที่ปลูกในสวนแห่งนี้ได้
ตู้คอนโทรล ใช้เงินลงทุนแค่หลักร้อย รวมแล้วก็น่าจะ 200-300 บาท ซึ่งราคานี้มันถูกๆ มาก ผมอยากให้เกษตรกรคิดถึงเทคโนโลยีการจัดการน้ำพวกนี้ให้มากเพราะเป็นหัวใจสำคัญของระบบการเกษตร ดิจิตอลไทม์เมอร์ เราสามารถตั้งทุกสิ่งทุกอย่างได้ มันมีแบตตารี่ด้วย หากไฟดับ เราก็ไม่ต้องกลัวเวลาในการให้น้ำของเราจะผิดเพี้ยน เพราะมันสามารถอยู่ได้โดยไม่มี กระแสไฟฟ้าไปเลี้ยง 2-3 วัน นาฬิกาก็เดินเป็นปกติ หลังไฟดับ ไฟมาปุ๊บ มันก็จะเดินตามปกติ
“ เมื่อผมเอาน้ำมาใช้งาน ก็ใช้ตัวควบคุมคือดิจิตอลไทม์เมอร์ ตัวละ 100 กว่าบาทแต่สามารถควบคุมการจ่ายน้ำในสวนมูลค่า 2-3ล้านได้สบาย ไม่มีปัญหา ขอให้เปิดใจรับเทคโนโลยีสักนิดนึง ดิจิตอลไทม์เมอร์ สามารถตั้งเวลาให้น้ำได้วันละ 18 ครั้ง จะให้น้ำครั้งละ 5 นาทีก็ทำได้หมด ” อาจารย์สุพิทย์กล่าว
เทคโนโลยีการให้น้ำผ่านระบบมือถือ มีดิจิตอลไทม์เมอรควบคุม สามารถตั้งเวลาเปิดปิดน้ำไว้ในมือถือเลยว่า เปิดให้น้ำ 7 โมงเช้า ปิด 8 โมง ทำให้การดูแลจัดการสวนเป็นเรื่องง่าย ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว แม้อาจารย์สุพิทย์จะไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนที่หาดใหญ่ ก็สามารถเช็คข้อมูลการทำงานของระบบการจ่ายน้ำได้เช่นกัน ส่วนการจัดการอื่นๆ ในไร่ ก็อาศัยจ้างแรงงานภายนอกเป็นครั้งคราว
สวนแห่งนี้ ไม่ได้เน้นกำจัดวัชพืชด้วยสารเคมี อาจารย์สุพิทย์จะขับรถตัดหญ้าเอง โดยทุกวันจะเดินตรวจงานในไร่ เพื่อตรวจสอบเรื่องโรคแมลง หากเห็นโรคพืชหรือแมลงจะใช้วิธีทำลายทันที จังหวัดกาญจนบุรี มีสภาพอากาศค่อนข้างร้อนในช่วงกลางวัน พอกลางคืน อากาศค่อนข้างเย็นอุณหภูมิเหลือแค่ 25-26 องศา พืชที่สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพอากาศแห่งนี้คือ มะม่วง ที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงภาวะอากาศได้ดี และให้ผลผลิตที่ดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงสายพันธุ์ใด เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 มะม่วงแก้วขมิ้น ฯลฯ ส่วนทุเรียน ไม่ค่อยรอด ปลูกแล้ว ตายต้องรื้อปลูกใหม่ ส่วนกล้วยต้องการน้ำเยอะ หากน้ำไม่พอ ก็ปลูกไม่ได้ผล
อาจารย์สุพิทย์บอกว่า มะม่วงที่ปลูกในสวนแห่งนี้ ไม่เคยห่อเลยครับ ปล่อยให้สุกตามธรรมชาติ ประมาณ 80% จึงค่อยเก็บจากต้น นำไปแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงหรือคนรู้จักได้กินฟรี เพราะผมชอบอย่างนี้มากกว่า ผมอยากมีเพื่อนมากกว่า เพราะเป้าหมายการทำเกษตรของผมไม่ได้คิดทำเพื่อความร่ำรวย แต่อยากทำเพื่อความสุขในชีวิตบั้นปลายครับ
หากใครสนใจอยากแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการทำเกษตรหรือสนใจเยี่ยมชมสวนแห่งนี้ สามารถติดต่ออาจารย์สุพิทย์ได้ที่ สวน “KP FRAM” บ้านเลขที่ 193 ตำบลหนองหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เบอร์โทร. 081-007-0004